วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2564

กฎหมายชารีอะห์


มุมมองจากทหารไทยเชื้อสายอเมริกันที่ร่วมรบในสงครามอัฟกานิสถาน

 https://www.youtube.com/watch?v=3m5LbFg3X4M


ผู้คนหนีตาย

https://www.facebook.com/thairath/videos/583674609333559













ศาสนาอิสลามเกิดในดินแดนที่เป็นประเทศซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน ศาสนิกคือผู้นับถือศาสนาอิสลามนั้น เรียกว่า มุสลิม

พระศาสดาของศาสนาอิสลามมีพระนามว่ามุฮัมมัด (มุฮำมัด ก็ว่า) คำว่าพระศาสดาในที่นี้ ชาวมุสลิมใช้คำเรียกว่า “นบี” [Nabi]

พระนบีมุฮัมมัดประสูติที่เมืองมักกะฮ์ [Mecca] ที่มักเรียกกันว่าเมกกะ เมื่อประมาณ ค.ศ.570 คือ พ.ศ.๑๑๑๓ (ไม่ได้ตัวเลขที่แน่นอน) ในยุคที่ดินแดนอาหรับมีชนเผ่าต่างๆ แบ่งแยกกันค่อนข้างมาก

ท่านกำพร้าบิดาตั้งแต่ยังไม่ประสูติ และกำพร้ามารดาเมื่อชนมายุ ๖ พรรษา ท่านปู่ดูแลท่านมาจนประมาณชนมายุ ๘ พรรษา ต่อนั้นมาท่านอยู่ในความดูแลของท่านลุง นามว่าอาบูตาลิบ ซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าฮะชิม

ครั้นชนมายุ ๒๕ พรรษา ท่านได้ทำงานเป็นผู้ดูแลกิจการค้าขายของเศรษฐินีหม้ายนามว่าขะติยะฮ์ [Khadijah เนื่องจากหาสมุดจดวิชาไม่พบ การเขียนสะกดตัวอักษรอาจจะไม่แม่นยำนัก ต้องพึ่งตำราฝรั่ง]

ต่อมา เมื่อท่านได้สมรสกับท่านขะติยะฮ์แล้ว และมีเวลาหาความสงบมากขึ้น ประมาณ ค.ศ. 610/พ.ศ.๑๑๕๓ เมื่อชนมายุ ๔๐ พรรษา มีเรื่องว่า ขณะไปหาความสงบในถ้ำ ท่านได้มองเห็นว่าพระอัลเลาะฮฺเจ้าได้มอบพระโองการให้ท่านสั่งสอน

ต่อแต่นี้ ท่านได้รับพระวิวรณพจน์เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ อันรวมกันเป็นพระคัมภีร์ "อัล-กุรอ่าน” ซึ่งมีหลักการสูงสุดว่า มีพระเจ้าพระองค์เดียวคืออัลเลาะฮฺ [Allah] และพระมุฮัมมัด เป็นนบี คือ ศาสดาผู้ประกาศพระวจนะของพระองค์ (ฝรั่งว่า prophet)

เมื่อพระนบีมุฮัมมัดเผยแพร่คำสอนในเมืองมักกะฮ์ ได้มีผู้ไม่พอใจเป็นปฏิปักษ์มุ่งร้าย แต่ท่านลุงผู้เป็นหัวหน้าเผ่าได้ช่วยคุ้มครองท่านจนกระทั่งถึงประมาณ ค.ศ.619/พ.ศ.๑๑๖๒ ท่านลุงถึงมรณกรรม และในเวลาใกล้กันนั้น ท่านเศรษฐินีขะติยะฮ์ผู้ภรรยาก็ถึงมรณกรรม ท่านจึงขาดผู้คุ้มครอง

ท่านมองเห็นภัยจากการที่จะถูกบีบคั้นและห้ามสั่งสอน จึงพร้อมด้วยสาวกเวลานั้นประมาณ ๗๐ คน ตกลงตัดความสัมพันธ์สายเลือดกับเผ่าในเมืองมักกะฮ์ และในปี 622/๑๑๖๕ ได้พากันอพยพออกจากเมือง มักกะฮ์ ไปอยู่ที่เมืองยาธริบ [Yathrib] ที่บัดนี้ เรียกว่า มะดีนะฮ์ [Medina] ห่างขึ้นไปทางเหนือประมาณ ๔๐๐ กม.

เหตุการณ์สำคัญนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นแห่งศักราชของศาสนาอิสลาม ที่เรียกว่า “ฮิจเราะฮ์” (hegira, hijrah,หรือ hijra เป็นคำอาหรับ แปลว่า อพยพ และศักราชของอิสลามจึงเท่ากับ พ.ศ. ๑๑๖๕)



ดูลึกๆมุสลิมเป็นนักรบ เป็นลัทธิการเมือง ไม่ใช่ลัทธิศาสนา ไม่ใช่ศาสนา ที่สอนให้คนกำจัดราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นอกุศลมูลในจิตในใจ

ดูต่ออีกนิดก็เห็นว่าเป็นเช่นว่านั้น

ในเมืองมะดีนะฮ์ ก็มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างเผ่าต่างๆ มาก รวมทั้งพวกยิว นบีต้องสู้รบทั้งกับชาวเมืองมักกะฮ์ และขยายวงสัมพันธ์ในเมืองมะดีนะฮ์

กองคาราวานการค้าของชาวเมืองมักกะฮ์ ต้องผ่านทางมะดีนะฮ์ พระนบีมุฮัมมัดได้ยกกำลังไปซุ่ม และรบตัดกำลังพวกมักกะฮ์ ทำให้พวกนั้นอ่อนกำลังลง และทางมะดีนะฮ์มีกำลังเพิ่มขึ้น พระนบีมุฮัมมัดมีชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในปี 624/๑๑๖๗ แม้ว่าปีต่อมาจะพ่ายแพ้

พวกมักกะฮ์ยกกำลังใหญ่ มีกำลัง ๑๐,๐๐๐ มาล้อมตีเมืองมะดีนะฮ์ ในปี 627/๑๑๗๐ แต่ท่านรบชนะทำให้พวกมักกะฮ์แตกพ่ายกลับไป

ในเมืองมะดีนะฮ์เอง พระนบีก็ต้องใช้เวลาในการผนึกกำลัง มีการปราบพวกที่แข็งข้อ หรือไปเข้ากับพวกมักกะฮ์ โดยเฉพาะมีพวกยิวอยู่ ๓ เผ่า ซึ่งท่านได้ปราบปรามสำเร็จ เฉพาะอย่างยิ่งมียิวเผ่าหนึ่ง (Banu Qurayza) ที่กล่าวกันว่าคิดการร้ายต่อท่านระหว่างที่พวกมักกะฮ์มาล้อมตี ท่านจึงต้องปราบใหญ่โดยสังหารผู้ชายทั้งหมด และขายผู้หญิงและเด็กเป็นทาสออกพ้นไปจากมะดีนะฮ์

ครั้นถึงเดือนมกราคม ปี 630/๑๑๗๓ เมื่อทางมักกะฮ์อ่อนกำลังตีมะดีนะฮ์ไม่สำเร็จ และทางเศรษฐกิจก็เปลี้ย เพราะเส้นทางคาราวานถูกตัด พระนบีมุฮัมมัดจึงยกกำลังพล ๑๐,๐๐๐ ไปยังมักกะฮ์ และฝ่ายเมืองนั้นเปิดเมืองรับยอมอ่อนน้อมโดยดี ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ฝ่ายศัตรูถูกสังหารเพียง ๒๘ คน และฝ่ายมุสลิมเสียชีวิตเพียง ๒ คน

พระนบีมุฮัมมัดใช้เวลา ๑๕-๒๐ วัน จัดการวางระบบบริหารปกครองเมืองมักกะฮ์ โดยเฉพาะได้ทำลายรูปเคารพ (idols) ให้หมดจากมหาวิหารกะบะฮ์ (บางทีใช้เขียนเป็น กะอุ บะฮุ Kabah ฝรั่งมักเขียน kaaba) และศาสนสถานใกล้เคียง แล้วกลับสู่มะดีนะฮ์

ในช่วงนี้ พระนบีต้องออกรบกับชนเผ่าอื่นๆ ที่เข้มแข็ง เมื่อท่านชนะ ต่อมาก็มีชนเผ่าต่างๆ ส่วนมากมาขอเข้าด้วย จนกระทั่งก่อนที่พระนบีเสด็จสวรรค์ในวันที่ ๘ มิถุนายน ปี 632/๑๑๗๕ ท่านไม่เพียงเป็นผู้ปกครองอาระเบียทั้งหมดเท่านั้น แต่ได้เคยยาตราทัพ ๓๐,๐๐๐ ไปกำราบชายแดนซีเรียแล้วด้วย





สาวกยุคปัจจุบันก็ทำตามที่ถูกสอนฝังหัวไว้

https://www.sanook.com/news/8429014/?fbclid=IwAR0SdEK9jcCGNe-Rf6-Hf2L2nnwx1yX-qj6HaPRsnnpeFYliwT0Xj6dvLMU



ที่มาของคำสอนก็ได้มาจากที่ตนเข้าป่าเข้าถ้ำแล้วพระเจ้ามีโองการให้ตนเป็นตัวแทนเผยแพร่คำสอนแล้วต่อมาก็เขียนนั่นนี่อีกมากมายกลายเป็นคัมภีร์อังกุรอาน
มองกลับไปในแง่ยุคล่าเมืองขึ้น (สมัยผู้คนกลัวแม้แต่เสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องแผ่นดินไหวภัยธรรมชาติ ว่าสิ่งนั้นเกิดเพราะมีสิ่งเร้นลับ...? บันดาล) คนที่ฉลาดหน่อย ก็ใช้ความกลัวของผู้คนยุคนั้น รวมพลตั้งตนเป็นใหญ่ล่าอาณานิคม.



......................


ตาลีบันบุกสถานีโทรทัศน์เอาปืนจ่อผู้สื่อข่าวหญิงเพียงเพราะว่าเธอแต่งหน้า

ผู้ประกาศข่าวหญิงชาวอัฟกันได้บอกว่า พวกตาลีบันได้บุกมายังสถานีโทรทัศน์ของเธอและสั่งให้ผู้หญิงทุกคนออกไปจากสถานีโทรทัศน์ในขณะที่ได้ต่อว่าการที่พวกเธอนั้นแต่งหน้า
ผู้ประกาศข่าวหญิงชาวอัฟกัน 3 คนได้บอกว่า เธอนั้นถูกบังคับให้ไปซ่อนตัวหลังจากที่ถูกสั่งให้หยุดออกอากาศโดยพวกตาลีบันที่เอาปืนจ่อที่ตัวเธอ
Mehr Mursal Amiri ถูกสั่งให้กลับบ้านและไม่ต้องกลับมาอีกหลังจกาที่พวกตาลีบันได้บุกไปยังสถานีทีวี RTA ซึ่งเป็นสถานีแห่งชาติของอัฟกันในกรุงคาบูล นอกจากนี้เธอยังถูกต่อว่าสำหรับการแต่งหน้าและปฎิเสธที่จะสวม hijab.
เพื่อนผู้ประกาศข่าวอีก 2 ราย คือ Shabnam Daran และ Khadija Amin เองก็ได้ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามายังสถานทีวีอีกในขณะที่ความกลัวในหมู่ผู้หญิงนั้นมีมากขึ้นหลังจากพวกตาลีบันนั้นประกาศที่จะใช้กฎ Sharia ที่เข้มงวด
Ms Amiri อายุ 24 ปี ที่กำลังเรียนคณะนิติศาสตร์ปีสุดท้ายอยู่นั้นได้กล่าวว่า ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปในทางที่เลวร้าย ประชาธิปไตยได้จบลงแล้วและอนาคตนั้นมืดมนโดยเฉพาะผู้หญิงในประเทศของฉัน

คำแถลงการณ์ของนักข่าวหญิงที่ถูกสั่งห้ามทำงาน






อิหม่ามกล่าวเทศนาโดยมีนักรบตาลิบันพร้อมอาวุธยืนขนาบข้าง ระหว่างพิธีสวดมนต์ประจำสัปดาห์ที่มัสยิดอับดุลเราะห์มานในกรุงคาบูล หลังจากที่กลุ่มตาลิบันยึดครองอัฟกานิสถานได้สำเร็จ





คำสัญญา ตอลิบัน 17 สิงหาคม 2564
1. สร้างสัมพันธ์อย่างสันติกับทุกประเทศ
2. เคารพสิทธิสตรี
- เรียนหนังสือได้
- จัดกิจกรรมได้
- ทำงานได้
- อื่นๆในกรอบของอิสลาม
3. ไม่สร้างศัตรูทั้งภายในและภายนอก
4. ไม่แก้แค้นอดีตทหารและสมาชิกรัฐบาล
5. นิรโทษกรรมอดีตทหารรัฐบาล
6. นิรโทษกรรมให้กับผู้ที่เคยทำงานให้ต่างชาติ
7. สื่อทำงานในประเทศอย่างอิสระ
“จะไม่มีใครทำร้ายพวกคุณ หรือไปเคาะประตูบ้านเพื่อหาเรื่อง ตอลิบันในวันนี้มีความแตกต่างอย่างมากมายกับตอลิบันเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา” 




เทียบกับคนพุทธสายสักยนต์สายทรงเจ้าเข้าผี  กับ  อัลเลาะห์   ก็นี่เลย



จดหมายของซาห์ราได้เรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันส่งเสียงปกป้องชาวอัฟกานิสถานทุกคนให้รอดพ้นจากกลุ่มตาลีบัน เธอเริ่มต้นจดหมายว่า “ฉันเขียนจดหมายนี้ด้วยหัวใจที่แตกสลาย และยังคงมีความหวังลึกๆ ว่า ทุกคนจะร่วมกับฉันในการปกป้องผู้คนที่งดงามของประเทศนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้สร้างหนังในอัฟกานิสถาน ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของตาลีบัน
.
“ไม่กี่สัปดาห์ก่อน กลุ่มตาลีบันได้เข้ายึดครองหลายพื้นที่ในประเทศ พร้อมกับสังหารหมู่ประชาชนไปอีกมาก ทั้งยังลักพาตัวเด็กไปจำนวนหนึ่ง มีการนำเด็กผู้หญิงไปขายเป็น ‘เจ้าสาวเด็ก’ ขณะเดียวกัน พวกเขายังสังหารผู้หญิง เพียงเพราะการแต่งตัวของพวกเธอ พร้อมกับควักลูกตาของพวกเธอ นอกจากนี้พวกเขายังได้ทรมานและฆาตกรรมเหล่านักแสดงตลก นักประวัติศาสตร์ และกวีที่เรารัก เช่นเดียวกับหัวหน้าฝ่ายวัฒนธรรมและฝ่ายสื่อของรัฐบาลชุดก่อนหน้า”
.
นอกจากนี้ ตาลีบันยังลอบสังหารเจ้าหน้าที่รัฐหรือทุกคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐ กองกำลังตาลีบันจับผู้ชายจำนวนมากแขวนคอประจาน และจับครอบครัวหลายแสนครอบครัวแยกออกจากกัน ปัจจุบัน หลายครอบครัวถูกจับมาไว้ในแคมป์ที่กรุงคาบูล บังคับให้ครอบครัวโยกย้ายจากถิ่นที่อยู่เดิม มาอยู่รวมกันภายใต้สภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ถูกสุขอนามัย ขาดแคลนอาหารและเสบียง จนมีการปล้นสะดมเกิดขึ้น และที่สำคัญ เด็กทารกจำนวนมากกำลังจะเสียชีวิตเพราะขาดนม นี่คือวิกฤติของมนุษยชาติ แต่ทั่วโลกกลับยังคงเงียบงัน
.
“เราเติบโตมาด้วยความคุ้นชินจากการเงียบงันของโลก แม้เราจะรู้ดีว่าไม่ยุติธรรมนัก แต่การตัดสินใจทอดทิ้งพวกเรา ประชาชนชาวอัฟกานิสถานครั้งนี้ ด้วยการถอนกำลังทหารออกจากสมรภูมิรบเป็นสิ่งที่ผิด นี่คือการทรยศประชาชน และทรยศต่อทุกการกระทำของชาวอัฟกานิสถานที่ช่วยกันเอาชนะสงครามเย็นให้กับโลกตะวันตกเมื่อหลายปีก่อน พวกเราทุกคนกำลังถูกลืมเลือนไป ภายใต้การปกครองยุคมืดในอุ้งมือของตาลีบัน และแม้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่พวกเรา โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ กำลังกลับสู่ความพ่ายแพ้อีกครั้ง จากการทอดทิ้งพวกเราครั้งนี้
.
“พวกเราต้องการเสียงของทุกคน จากสื่อมวลชน จากรัฐบาล แต่องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งหลายกลับเงียบงัน ราวกับว่าการยึดประเทศของตาลีบันนั้นเป็น ‘ข้อตกลงสันติภาพ’ ข้อเท็จจริงก็คือมันไม่ใช่ สิ่งที่เขาพูดนั้นเพียงเพื่อให้พวกเขาได้กลับคืนสู่อำนาจเท่านั้น ในขณะที่อยู่ในช่วงเจรจาทำข้อตกลง พวกเขาก็ยังคงทำเหมือนเดิม นั่นคือโหดเหี้ยมกับประชาชนอย่างเสมอมา”
.
ซาห์รายังบอกอีกด้วยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอได้สร้างวงการภาพยนตร์ขึ้นด้วยความยากลำบาก ท่ามกลางความเสี่ยงที่จะล้มเหลว ทว่าเมื่อตาลีบันขึ้นครองอำนาจ ก็มีโอกาสสูงที่จะ ‘แบน’ ผลงานศิลปะทุกประเภท เธอและผู้สร้างหนังคนอื่นๆ น่าจะอยู่รายชื่อต้องห้ามที่รัฐบาลตาลีบันต้องกำจัดต่อไป
.
“เมื่อใดก็ตามที่กลุ่มตาลีบันกลับเข้าสู่อำนาจ จะไม่มีเด็กผู้หญิงแม้แต่คนเดียวที่ได้เรียนหนังสือ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีผู้หญิงมากกว่า 9 ล้านคนในอัฟกานิสถานได้รับการศึกษา สิ่งที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ หลังจากกลุ่มตาลีบันยึดครองเมืองเฮรัต เมืองที่ใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ผู้หญิงภายในเมืองเกือบครึ่งไม่ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัย เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่ทั่วโลกไม่รับรู้ พวกเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็สามารถทำลายโรงเรียนเป็นจำนวนมาก และเด็กผู้หญิงกว่า 2 ล้านคน ถูกบังคับให้ต้องออกจากระบบการศึกษาทันที
.
“ฉันไม่เข้าใจโลกใบนี้เลย ฉันไม่เข้าใจความเงียบงันนี้ จริงอยู่ แม้ฉันจะอยู่สู้ต่อเพื่อประเทศของฉัน แต่ฉันไม่สามารถที่จะต่อสู้เพียงลำพังได้ ฉันต้องการพวกคุณ ได้โปรดช่วยเหลือพวกเรา ทำให้โลกใบนี้หันมาสนใจ ทำให้โลกหันมารับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอัฟกานิสถาน


ควักลูกตาหญิง





เสียงร่ำร้องจากหญิงอัฟกัน




ข่าว CBN Exclusive: ผู้นำคริสตจักรเตือน 'กลุ่มตอลิบานกำลังจะกำจัดประชากรคริสเตียนในอัฟกานิสถาน




นศ.แพทย์หญิงชาวอัฟกัน ปี ๒๕๐๕  แต่ต่อนี้ไปตอลีบันปกครองแล้วหญิงชาวอัฟกันจะตกอยู่ในสภาพใด







อีกไม่เกินร้อยปีจะครอบคลุมทั่วถิ่นไทย ปัจจุบันเขาสร้างมัดยิดทั่วประเทศรอวันอพยบคนเข้าไปอยู่









ผู้หญิงมุสลิมมีสิทธิ์ในการขอหย่าขาดจากสามีเองหรือไม่?
.
การหย่าร้าง (เฏาะลาก) นั้นตามหลักการอิสลามเป็นสิทธิขาดของสามีที่จะหย่าร้างกับภรรยาได้ โดยการกล่าวออกมาด้วยวาจา หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรที่มีความหมายว่า "ขอหย่า" ขาดกับภรรยา 3 ครั้ง (ไม่ต่อเนื่องกัน) ก็ถือว่าการหย่านั้นเป็นผลให้ภรรยาขาดจากสามีแล้ว โดย "ไม่ต้องได้รับความยินยอม" จากภรรยา แต่ยังต้องเลี้ยงดูภรรยาในช่วงอิดดะฮฺ (ระยะเวลารอว่ามีลูกติดครรภ์หรือไม่) ประมาน 3 รอบประจำเดือน ภรรยาจึงจะไปแต่งงานใหม่ได้
.
ในขณะหากภรรยาต้องการหย่าจากสามีนั้น อาจสามารถทำโดยรูปแบบที่เรียกว่าการ "ซื้อหย่า” คือเป็นการจ่ายคืน "มะฮัรฺ" ที่สามีได้จ่ายไปไม่ว่าจะเป็นค่าสินสมรส และค่าใช้จ่ายในการแต่งงานทั้งหมด ซึ่งอิสลามถือว่ายุติธรรมแล้วเพราะเธอเป็นผู้ที่ต้องการยกเลิกการแต่งงานนั้นเอง แต่การหย่าลักษณะนี้ "ต้องได้ความยินยอม" จากฝ่ายสามีด้วย
.
ส่วนการที่ภรรยาต้องการที่จะหย่าขาดจากสามี โดยที่สามี "ไม่ยินยอม" นั้นในทางปฏิบัติอาจทำได้ แต่ต้องอาศัยอำนาจของศาลอิสลาม ผ่านทางคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดหรือทางอีหม่ามด้วย ซึ่งจะตรวจสอบ สืบสวน และ วินิจฉัยเป็นรายกรณีไป ซึ่งเหตุที่ศาลจะอนุมัติการหย่าต้องอยู่บนมูลเหตุที่ร้ายแรงเช่น สามีละเลยเรื่องการใช้จ่ายเลี้ยงดู / สามีทำร้ายภรรยารุนแรงจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่รวมกันได้ / หรือเมื่อสามีถูกคุมขังเป็นเวลานานและนางได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีมะรอมห์ (ผู้ปกครองที่เป็นผู้ชาย) / หรือสามีเป็นโรคร้ายที่เป็นที่รังเกียจหรือเป็นหมัน ฯลฯ
.
นอกจากนั้นยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความเป็นสามีภรรยากันต้องขาดลงทันที โดยที่ไม่ต้องมีการหย่ากัน นั่นคือ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด "ตกศาสนา" ไปแล้วเช่นการเปลี่ยนศาสนา หรือการปฏิเสธอัลเลาะห์
.
สำหรับสามีภรรยาที่หย่าร้างกันเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะไม่สามารถกลับมาแต่งงานร่วมอยู่กินกันเหมือนเดิมได้อีก นอกจากภรรยาต้องนิกะห์ (แต่งงาน) ใหม่กับชายอื่นที่มิใช่สามีเก่าของนาง และต้องมีเพศสัมพันธ์ด้วยกันก่อน จึงจะสามารถทำการหย่าขาดจากสามีใหม่ แล้วกลับมาแต่งงานกับสามีเดิมได้อีกครั้ง
.
เรื่องนี้มีตัวอย่างอยู่ในหะดิษ ซอเฮี๊ยะบุคคอรี 7:72:715 https://sunnah.com/bukhari:5825
มีหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งงานใหม่แล้วโดนสามีใหม่ทำร้าย มาหานบีและอาอิซะห์ เพื่อขอหย่ากลับไปหาสามีเก่า (ผู้หญิงต้องมีผู้ปกครองชายซักคนเสมอ) ในขณะที่อะอิซะห์เห็นใจนางพยายามโน้มน้าวมูฮัมมัดว่า
.
"ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงกลุ่มใดที่ทรมานมากเท่ากับผู้หญิงของบรรดาสาวกของอัลเลาะห์ มองดูสิ! ผิวของเธอเขียวกว่าเสื้อผ้าของเธอซะอีก!"
.
แต่มูฮัมมัดไม่ได้ใส่ใจความบาดเจ็บของนาง กลับเข้าข้างสาวกที่ทุบตีเมีย ไม่อนุญาติให้นางหย่ากับสามีใหม่ โดยวินิจฉัยว่าสามีใหม่ไม่ใช่ผู้ไร้สมรรถภาพทางเพศ (เพราะสามีใหม่เอาลูกติดจากภรรยาคนอื่นๆมายืนยันด้วย)
.
"นบีพูดว่า ถ้านั่นเป็นความตั้งใจของเจ้า ก็จงรู้ว่าเป็นการผิดกฎหมายสำหรับเจ้าที่จะแต่งงานใหม่กับ Rifa'a (ผัวเก่า) อีกครั้งเว้นแต่ Abdur-Rahman (ผัวใหม่) จะมีเพศสัมพันธ์กับเจ้าเสียก่อน"
.
เหมือนกับว่าการที่นางยังไม่ท้องนั้นไม่ยืนยันว่านางมีเพศสัมพันธ์กับสามีใหม่หรือยัง หรือนางต้องพิสูจน์ได้ว่าสามีใหม่ไร้สมรรถภาพก่อน จึงจะเป็นเหตุพอให้หย่ากลับไปหาสามีเดิมได้ ซึ่งเป็นคนละสาเหตุกับที่นางต้องการหย่าเพราะโดนซ้อมแต่อย่างใด จะว่าไปก็ไม่ได้ตรรกกะซักเท่าไหร่? แต่ก็กลายมาเป็นรูปแบบปฎิบัติของมุสลิมต่อมาจนปัจจุบัน





นักสู้ตอลิบาน 'จุดไฟเผาผู้หญิง' ฐานทำอาหารไม่อร่อย พร้อมบังคับเด็กสาวให้แต่งงานกับพวกญิฮาด และใช้พวกเธอเป็นทาสทางเพศ อดีตผู้พิพากษาหญิงชาวอัฟกันกล่าว
หญิงคนหนึ่งถูกกลุ่มตอลิบานจุดไฟเผาซึ่งไม่ชอบอาหารที่พวกเขาบังคับให้เธอทำ
นาจลา อายูบี อดีตผู้พิพากษาหญิงชาวอัฟกัน ถูกบังคับให้แต่งงานกับเด็กสาวในโลงศพและส่งไปต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นทาสทางเพศ
เกิดขึ้นหลังจากวิดีโอแสดงให้เห็นว่านักรบตาลีบันทุบตีผู้คนตามท้องถนนและยึดธงชาติ
สหประชาชาติได้เตือนนักสู้กำลังออกไปตามบ้านเพื่อค้นหาผู้ทำงานร่วมกันจากตะวันตกเพื่อสังหารในขณะที่รายงานอื่น ๆ พบว่าชนกลุ่มน้อยถูกทรมานจนตาย






กลุ่มตาลีบันเตือนผู้หญิงอย่าออกจากบ้าน อย่าไปทำงาน มิเช่นนั้น ไม่รับประกันความปลอดภัย เพราะนักรบตาลีบันไม่ได้ฝึกให้เคารพสตรีเพศ
◾◾◾
🔴 อย่าออกจากบ้าน เพราะตาลีบันไม่ได้ฝึกให้เคารพสตรี
CNN รายงานว่า หญิงชาวอัฟกานิสถานกำลังหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังซาบิอุลเลาะห์ มูจาห์ฮิด โฆษกกลุ่มตาลีบัน แถลงข่าวเตือนพวกเธอว่า ให้อยู่แต่ในบ้าน อย่าออกไปทำงาน เพราะพวกเธอจะตกอยู่ในอันตราย
คำเตือนดังกล่าวย้อนแย้งจากสิ่งที่กลุ่มตาลีบันเคยให้คำมั่นว่าจะเคารพสิทธิสตรี และกลุ่มตาลีบันเปลี่ยนไปแล้ว จากการยึดแนวคิดสุดโต่งเมื่อ 20 ปีก่อน
มูจาห์ฮิด ระบุว่า นี่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเท่านั้น และท้ายสุดแล้ว ทางกลุ่มจะพยายามหาแนวทาง เพื่อปฏิบัติต่อผู้หญิงด้วยความเคารพ “และไม่ทำร้ายพวกเธอ” โดยยอมรับว่า นักรบตาลีบัน “เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาตลอด และไม่ได้รับการฝึกฝนให้เคารพผู้หญิง”
“เรายินดีให้ผู้หญิงเข้าไปในอาคารได้ แต่เราอยากให้มั่นใจว่าพวกเธอจะไม่ต้องหวาดกลัว...ดังนั้น เราขอให้พวกเธออย่าพึ่งออกจากบ้านไปทำงาน จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ และมาตรการสำหรับผู้หญิงได้รับการบังคับใช้ เพื่อให้พวกเธอกลับไปทำงานได้”

(เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน)

เสียชีวิตเป็นร้อย ระเบิดสนามบินคาบูล







อัลลอฮ์ พระเจ้าแห่งดวงจันทร์ นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมจารึกจากกำแพงและหินนับพันในอาระเบียตอนเหนือ นอกจากนี้ยังมีการค้นพบถ้วยชามและคำอธิษฐานที่ใช้ในการบูชา "ธิดาของอัลลอฮ์"
👉 ธิดาทั้งสาม al-Lat, al-Uzza และ Manat บางครั้งก็ถูกวาดภาพร่วมกับอัลลอฮ์ เทพแห่งดวงจันทร์ซึ่งมีพระจันทร์เสี้ยวเหนือพวกเขา
หลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่าศาสนาที่มีอำนาจเหนือกว่าของอาระเบียเป็นลัทธิของเทพเจ้าดวงจันทร์ ในสมัยพันธสัญญาเดิม Nabonidus (555-539 ปีก่อนคริสตกาล) กษัตริย์องค์สุดท้ายของบาบิโลนได้สร้าง Tayma
ประเทศอาระเบียให้เป็นศูนย์กลางของการบูชา Moon-god เซกัลกล่าวว่า "ศาสนาที่เป็นตัวเอกของอาระเบียใต้มักถูกครอบงำโดยเทพดวงจันทร์ในรูปแบบต่างๆ"
นักวิชาการหลายคนยังสังเกตเห็นว่าชื่อของเทพเจ้าดวงจันทร์ "บาป" เป็นส่วนหนึ่งของคำภาษาอาหรับ เช่น "ซีนาย" "ความรกร้างแห่งบาป" เป็นต้น
เมื่อความนิยมของเทพเจ้าดวงจันทร์ลดลงในที่อื่นๆ ชาวอาหรับก็ยังคงเป็นความจริง ต่อความเชื่อมั่นของพวกเขาว่า Moon-god เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาเทพเจ้า
ขณะที่พวกเขาบูชาเทพเจ้า 360 องค์ที่ Kabah ในนครมักกะฮ์ เทพเจ้า Moon-god เป็นเทพเจ้าสูงสุด เมกกะถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่สักการะของเทพเจ้าดวงจันทร์
หลักฐานแสดงให้เห็นว่าวิหาร์ของดวงจันทร์เทพมีการนำมาใช้แม้ในสมัยคริสเตียน หลักฐานที่รวบรวมจากทั้งทางเหนือและทางใต้ของอาระเบียแสดงให้เห็นว่าการบูชาเทพเจ้าดวงจันทร์มีการนำมาใช้อย่างชัดเจนแม้ในสมัยของมูฮัมหมัดและยังคงเป็นลัทธิที่ครอบงำ ตามคำจารึกมากมาย
ในขณะที่ชื่อของ Moon-god คือ Sin ชื่อของเขาคือ al-ilah นั่นคือ "เทพ" หมายความว่าเขาเป็นหัวหน้าหรือพระเจ้าชั้นสูงในหมู่เหล่าทวยเทพ ดังที่คูนชี้ให้เห็น "พระเจ้าอิลหรืออิลาห์เป็นช่วงของเทพจันทรา" Moon-god ถูกเรียกว่า al-ilah นั่นคือพระเจ้าซึ่งย่อมาจากอัลลอฮ์ในสมัยก่อน อิสลาม
ชาวอาหรับนอกรีตยังใช้อัลลอฮ์ในชื่อที่พวกเขาใช้กับลูก ๆ ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ทั้งพ่อและลุงของมูฮัมหมัดมีอัลลอฮ์เป็นส่วนหนึ่งของชื่อของพวกเขา
💥 ข้อเท็จจริงนี้ตอบคำถามว่า "เหตุใดอัลลอฮ์จึงไม่เคยกำหนดไว้ในอัลกุรอาน ทำไมมูฮัมหมัดจึงสันนิษฐานว่าชาวอาหรับนอกรีตรู้แล้วว่าอัลลอฮ์เป็นใคร" มูฮัมหมัดได้รับการเลี้ยงดูในศาสนาของอัลลอฮ์มูนเทพ
แต่เขาก้าวไปไกลกว่าชาวอาหรับนอกรีตหนึ่งก้าว ในขณะที่พวกเขาเชื่อว่าอัลลอฮ์ กล่าวคือ เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ เป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นเทพสูงสุดในวิหารของเทพเจ้า มูฮัมหมัดตัดสินใจว่าอัลลอฮ์ไม่เพียงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นพระเจ้าองค์เดียวอีกด้วย...!!!
พระองค์ตรัสว่า “ดูเถิด พวกเจ้าเชื่อแล้วว่าดวงจันทร์-พระเจ้าอัลลอฮ์นั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ทั้งหมดที่ฉันต้องการให้คุณทำคือยอมรับว่าความคิดที่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว บูชาแล้ว ข้าพเจ้าจะเอาแต่ภริยาของเขา ธิดาของเขา และเทพอื่นๆ ทั้งหมดไป”
จะเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าประเด็นแรกของศาสนาอิสลามไม่ใช่ "อัลลอฮ์ยิ่งใหญ่" แต่ "อัลลอฮ์ยิ่งใหญ่ที่สุด" กล่าวคือ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาเหล่าทวยเทพ
ทำไมมูฮัมหมัดถึงบอกว่าอัลลอฮ์เป็น "ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด" ยกเว้นในบริบทที่มีพระเจ้าหลายองค์? คำภาษาอาหรับใช้เพื่อเปรียบเทียบมากกว่าและน้อยกว่า การที่สิ่งนี้เป็นความจริงนั้นสามารถเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าชาวอาหรับนอกรีตไม่เคยกล่าวหาว่ามูฮัมหมัดสั่งสอนอัลลอฮ์ที่แตกต่างจากที่พวกเขาบูชาอยู่แล้ว "อัลลอฮ์" องค์นี้เป็นเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ตามหลักฐานทางโบราณคดี มูฮัมหมัดจึงพยายามที่จะมีมันทั้งสองทาง สำหรับคนต่างศาสนาเขากล่าวว่าเขายังคงเชื่อในอัลลอฮ์แห่งดวงจันทร์
💥สำหรับชาวยิวและชาวคริสต์ เขากล่าวว่าอัลลอฮ์เป็นพระเจ้าของพวกเขาเช่นกัน แต่ทั้งชาวยิวและชาวคริสต์ต่างก็รู้ดี และนั่นคือสาเหตุที่พวกเขาปฏิเสธพระเจ้าของเขาที่อัลลอฮ์เป็นพระเจ้าจอมปลอม
Al-Kindi หนึ่งในผู้ปกป้องคริสเตียนในยุคแรกๆ ที่ต่อต้านอิสลาม ชี้ให้เห็นว่าอิสลามและพระเจ้าของอัลลอฮ์ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ แต่มาจากลัทธินอกรีตของชาวซาบีน พวกเขาไม่ได้เคารพบูชาพระเจ้าแห่งพระคัมภีร์แต่เป็นเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์และลูกสาวของเขา al-Uzza, al-Lat และ Manat ดร.นิวแมนสรุปการศึกษาข้อโต้แย้งของคริสเตียน-มุสลิมในยุคแรกโดยกล่าวว่า "อิสลามได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็น...ศาสนาที่แยกจากกันและเป็นปฏิปักษ์ซึ่งเกิดขึ้นจากการบูชารูปเคารพ" ซีซาร์ ฟาราห์ นักวิชาการอิสลามสรุปว่า "ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะยอมรับความคิดที่ว่าอัลลอฮ์ส่งผ่านไปยังชาวมุสลิมจากคริสเตียนและยิว"
ชาวอาหรับบูชาเทพจันทราเป็นเทพสูงสุด แต่นี่ไม่ใช่ monotheism ในพระคัมภีร์ไบเบิล แม้ว่า Moon-god นั้นยิ่งใหญ่กว่าเทพเจ้าและเทพธิดาอื่น ๆ ทั้งหมด แต่สิ่งนี้ก็ยังเป็นเทพเจ้าแห่งพระเจ้าหลายองค์
ตอนนี้เรามีรูปเคารพที่แท้จริงของเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์แล้ว เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปที่จะหลีกเลี่ยงความจริงที่ว่าอัลลอฮ์เป็นพระเจ้านอกรีตในสมัยก่อนอิสลาม...!!!
สงสัยหรือไม่ว่าสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลามคือพระจันทร์เสี้ยว...??? พระจันทร์เสี้ยวนั้นอยู่บนยอดสุเหร่าและสุเหร่าของพวกเขา...??? มีพระจันทร์เสี้ยวอยู่บนธงชาติอิสลาม...??? ที่ชาวมุสลิมถือศีลอดในช่วงเดือนที่เริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยการปรากฏจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า
👉 บทสรุป ชาวอาหรับนอกรีตนมัสการอัลลอฮ์แห่งดวงจันทร์โดยสวดอ้อนวอนไปยังเมกกะวันละหลายครั้ง แสวงบุญไปยังเมกกะ; วิ่งรอบวิหารของดวงจันทร์ที่เรียกว่า Kabah; จูบหินดำ ฆ่าสัตว์เพื่อบูชาเทพจันทรา ขว้างก้อนหินใส่ปีศาจ การถือศีลอดในเดือนที่เริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยพระจันทร์เสี้ยว การให้ทานแก่ผู้ยากไร้ เป็นต้น มุสลิมอ้างว่าอัลลอฮ์เป็นพระเจ้าของพระคัมภีร์และอิสลามเกิดขึ้นจากศาสนาของผู้เผยพระวจนะและอัครสาวก
💥💥💥 อิสลามถูกหักล้างด้วยหลักฐานทางโบราณคดีที่หนักแน่นและท่วมท้น อิสลามไม่มีอะไรมากไปกว่าการฟื้นคืนชีพของลัทธิเทพจันทราโบราณ ได้นำเอาสัญลักษณ์ พิธีกรรม พิธีกรรม และแม้แต่ชื่อเทพเจ้าจากศาสนานอกรีตโบราณของเทพจันทรา เช่นนี้จึงเป็นการบูชารูปเคารพอย่างแท้จริง...!!!
เช่นเดียวกับที่ต้นกำเนิดของนิกายโรมันคาทอลิกสามารถสืบย้อนไปถึงศาสนาบาบิโลนนอกรีตได้ ศาสนาอิสลามก็สามารถสืบย้อนไปถึงการบูชาดวงจันทร์นอกรีตของชาวอัสซีเรียและบาบิโลนได้ฉันนั้น ใครสามารถปฏิเสธอิทธิพลสูงสุดของดวงจันทร์ในชีวิตของชาวมุสลิมได้? ในศาสนาอิสลาม ดวงจันทร์ถือเป็นวัตถุทางดาราศาสตร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และดวงจันทร์เป็นแสงนำทางของพิธีกรรมและเทศกาลของอิสลามทั้งหมด พระจันทร์เสี้ยวและดวงดาวเป็นสัญลักษณ์ในธงประจำชาติของประเทศมุสลิมหลายแห่ง และปรากฏอยู่เหนือมัสยิด ในสุสานของชาวมุสลิม ฯลฯ มุสลิมไม่ทำตามและไม่เคยทำตามพระเจ้าของอับราฮัม ไอแซก และยาโคบ . พวกเขาบูชาพระเทียมเท็จ
💥อัลลอฮ์เป็นเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ก่อนอิสลาม เขามีลูกสาวสามคน....อัลลาต อัลอุซซา และมนัส ความจริงก็คือมีพระเจ้านอกศาสนาที่เรียกว่าอัลลอฮ์และชาวเมกกะและพื้นที่โดยรอบบูชาเขา เขามีลูกสาวสามคนที่กล่าวถึงในคัมภีร์กุรอาน บิดาของมูฮัมหมัดคืออับดุลลาห์ บ่าวของอัลลอฮ์ เป็นเครื่องบ่งชี้ชัดเจนว่าชาวมักกะฮ์เชื่อในพระเจ้าก่อนอิสลามที่เรียกว่าอัลลอฮ์ ประการที่สอง LAH เป็นพระเจ้าของชาวฟินีเซียนและร่วมกับ BAAL เป็นพระเจ้าที่มีอำนาจมาก พ่อค้าของเมกกะได้สร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการค้ากับชาวฟินีเซียนมาเป็นเวลานานและเป็นผู้มาเยือนเมืองฟีนิเซียบ่อยครั้ง เนื่องจากชาวอาหรับไม่มีพระเจ้าที่มีรูปร่างระดับนานาชาติ พวกเขาจึงมองหาพระเจ้าองค์หนึ่ง และในที่สุดก็รับเอา ALAH เป็นพระเจ้าของพวกเขาเองและนำเขากลับมายังอาระเบีย ที่นี่ตามกฎไวยากรณ์ภาษาอาหรับ AL ถูกเพิ่มเพื่อทำให้เป็นคำนามที่เหมาะสม ดังนั้น LAH ก็กลายเป็นอัลลอฮ์ การอ้างอิงถึงธิดาของอัลลอฮ์อยู่ในอัลกุรอานด้วย...!!!


15
ความคิดเห็น 5 รายการ
แชร์ 13 ครั้ง
ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
แชร์


สะพายอาวุธรำวง






อัฟกานิสถาน : ตาลีบันคือใคร ทำไมพวกเขากำลังจะครองดินแดนที่สหรัฐฯ กำลังถอนทัพ

กลุ่ม "ตาลีบัน" หรือแปลว่า "นักเรียน" ในภาษาพัชโต (Pashto) เริ่มปรากฏตัวในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ทางตอนเหนือของปากีสถานหลังจากกองทัพโซเวียตถอนตัวออกไปจากอัฟกานิสถาน เชื่อกันว่าการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นชาวปาทานโดยส่วนใหญ่ เริ่มต้นในโรงเรียนสอนศาสนา ซึ่งได้รับทุนจากซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเชื่อในคำสอนศาสนาอิสลามนิกายซุนนีแบบสุดโต่ง

นาโต คาดการณ์ว่าตาลีบันมีนักรบประจำการถึง 85,000 คน

ชาวอัฟกานิสถานอ้าแขนต้อนรับกลุ่มตาลีบัน เพราะเบื่อหน่ายความขัดแย้งภายในของกลุ่มมุญาฮิดีน หลังขับไล่พวกโซเวียตออกไปสำเร็จ

ในช่วงแรก พวกเขาได้รับความนิยมเพราะว่าช่วยกำจัดการทุจริต ควบคุมสิ่งผิดกฎหมาย รวมถึงทำให้ถนนและพื้นที่ต่าง ๆ ปลอดภัยสำหรับการค้าขายทำธุรกิจ

อย่างไรก็ดี พวกเขาก็เริ่มบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์โดยตีความการลงโทษด้วยกฎหมายอิสลามนี้อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการประหารผู้มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและผู้ที่นอกใจคู่ครอง และตัดแขนขาผู้มีความผิดฐานลักขโมย นอกจากนี้ ยังมีการบังคับให้ผู้ชายไว้หนวด และผู้หญิงต้องใส่ชุดแบบปกปิดทั้งตัวแบบอิสลาม หรือ บูร์กา (Burka) อีกด้วย

นอกจากนี้ กลุ่มตาลีบันยังห้ามไม่ให้มีการดูทีวี ฟังเพลง หรือดูหนัง ด้วย และต่อต้านการให้เด็กผู้หญิงที่อายุ 10 ขวบ และมากกว่านั้น ไปโรงเรียน พวกเขาถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำลายสิ่งก่อสร้างทางวัฒนธรรมในหลายกรณี รวมถึงเมื่อปี 2001 พวกเขาทำลายพระพุทธรูปบามิยันอันโด่งดังแม้จะมีเสียงประณามจากนานาชาติ

ปากีสถานปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังเครือข่ายของตาลีบัน แต่แทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่าชาวอัฟกานิสถานหลายคนที่เข้าร่วมกลุ่มติดอาวุธในช่วงแรก ๆ ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนสอนศาสนาในปากีสถาน





อัฟกานิสถาน : ช่างแต่งหน้าหญิงและธุรกิจเสริมสวยกับอนาคตอันมืดมนใต้เงาตาลีบัน



ป้ายโฆษณาหน้าร้านเสริมสวยในกรุงคาบูลถูกพ่นสีดำทับใบหน้าผู้หญิงที่ไม่สวมผ้าคลุมศีรษะแบบชาวมุสลิม








ล่าสุดทางด้านของ ซาบีฮุลเลาะห์ มูจาฮิด โฆษกกลุ่มตาลีบันได้ออกคำสั่ง “ห้ามยิงปืนขึ้นฟ้า” โดยกล่าวว่าผู้คนควร “ขอบคุณพระเจ้า” แทนที่จะยิงกระสุนขึ้นไปในอากาศ “กระสุนสามารถทำร้ายพลเรือนได้ ดังนั้นอย่ายิงโดยไม่จำเป็น”



ชาวอัฟกันลุกฮือ ประท้วงกลุ่มตาลีบัน
“รัฐบาลยิงปืนใส่ประชาชน พวกตาลีบันไร้ความยุติธรรม พวกมันไม่ใช่มนุษย์” สิ้นเสียงสัมภาษณ์ กลุ่มตาลีบันก็ยิงปืน เพื่อสลายการประท้วงใหญ่ในกรุงคาบูล






คาบูลสตรีอัฟกันประท้วง ถูกตาลิบันฟาดสะ



นโยบาย รมต. สธ.



ปชช. ประท้วงกันแล้ว แบบนี้ยังมีตายอีกเยอะ




นักข่าวถูกตาลีบันซ้อมแทบวางวาย





เจาะมันสะ


กฎทั้งหลายแหล่ เช่น มีได้ ๔ คน เป็นต้น ของลัทธินี้ ผู้ชายในยุคโน่นเขียนกันขึ้นเอง แล้วไปหลอกผู้คนยุคโน้นว่า พระเจ้าเขียนพระเจ้าสั่งเป็นความประสงค์ของพระเจ้า (ที่ไหนก็ไม่รู้) ที่คนเมื่อหลายพันปีกลัว กลัวแม้กระทั่งเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าแผ่นดินไหว แล้วก็เชื่อตามๆกันมาจนลงลึกติดในสายเลือด



















เป็นอีกคลิปที่ชาวเน็ตรุมสวดยับ เมื่อเด็กหญิงชาวไนจีเรียคนหนึ่งถูกครูของโรงเรียนอิสลามแห่งหนึ่ง “รุมเฆี่ยน” ไม่ยั้ง ตามคำขอของพ่อแท้ๆ ซึ่งโกรธที่จับได้ว่าลูกสาวแอบกินเหล้า

จากในคลิปจะเห็นว่ามีครูผู้ชาย 4 คนใช้ไม้เรียวกระหน่ำฟาดลงบนหลังของเด็กหญิงซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น โดยเด็กหญิงแสดงอาการเจ็บปวด และพยายามยกมือขอให้พวกเขาหยุดการเฆี่ยนตีซึ่งรุนแรงถึงขั้นทำให้ผ้าคลุมศีรษะ (ฮิญาบ) ของเธอหลุด

พ่อของเด็กหญิงให้สัมภาษณ์กับ BBC Pidgen ว่า เขา “อนุญาต” ให้ทางโรงเรียนลงโทษเอง หลังจับได้ว่าลูกสาวแอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นของต้องห้ามสำหรับชาวมุสลิม

“ผมไปแจ้งให้ทางโรงเรียนทราบ และขอให้ครูช่วยลงโทษลูกอย่างเหมาะสม โดยตัวผมเองก็ขออยู่ดูการลงโทษด้วย” เขากล่าว

รายงานระบุว่า เด็กหญิงกับเพื่อนชายและหญิงอีก 3 คนถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้วันเกิด ซึ่งพวกเขาปฏิเสธว่าไม่จริง

ในโลกออนไลน์ยังมีการแชร์คลิปวิดีโอที่เด็กผู้ชายอีกคนถูกครูเฆี่ยนในวันและเวลาเดียวกัน ซึ่งภาพที่ออกมานั้นรุนแรงเกินกว่าที่ชาวเน็ตจะรับได้ จนเกิดกระแสเรียกร้องให้ทางโรงเรียนแสดงความรับผิดชอบ

สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ในรัฐควารา (Kwara) ถูกสั่งพักงานแล้ว ส่วนเด็กๆ ที่โดนเฆี่ยนก็ถูกส่งตัวไปรักษาบาดแผลที่โรงพยาบาล

อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนยืนยันว่าบทลงโทษนี้เป็นไปตามหลักศาสนา ไม่ได้รุนแรงเกินกว่าเหตุ อีกทั้งผู้ปกครองเด็กก็ให้ความเห็นชอบด้วย

รัฐบาลท้องถิ่นได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนซึ่งประกอบด้วยผู้รู้ศาสนา, ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมทั้งย้ำว่า “ไม่ว่าจะมีคำอธิบายอย่างไร หรือต่อให้พ่อแม่เห็นด้วย และเด็กๆสำนึกผิดก็ตาม แต่รัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการเฆี่ยนตีอย่างทารุณแบบที่ปรากฏในคลิป”

ที่มา: Daily Mail








ส.ส.จอร์แดนซัดหมัดกันนัว หลังถกเถียงประเด็นสิทธิสตรีในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งดใช้บริการ

  https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3724456 https://www.facebook.com/photo/?fbid=491527119790156&set=a.433526435590225 https:...