ปัจจุบันลัทธิศาสนาต่างๆถูกคนรุ่นใหม่รุ่นปัจจุบันค้นรื้อแล้วตั้งคำถามมากมาย โดยเฉพาะ อิสลาม พุทธ (พุทธถูกถามเกี่ยวกับบุคคลมากกว่าหลักธรรม หลักธรรมไม่ค่อยถามกัน) คริสต์ เช่น ภาพนี้ เพจ "เมื่อศาสดาหันหน้าคุยกัน" มีใครกันบ้าง แต่ไม่เห็นศาสดาเชน
บุคคลที่ยกมาน่าจะมีสองสาเหตุ เช่นว่า หนึ่งตนไม่เคยบวชพอเกษียณก็บวชตามประเพณีไทยระยะหนึ่งแล้วก็ลาสิกขาไป สอง บางท่านบวชหนีภัยทางการเมือง พอพายุทางการเมืองสงบแล้วก็ลาสิกขาออกไป แล้วก็เข้าไปสู่การเมืองอีก เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ? เพราะกลัวถูกเช็คบิล จึงเข้าไปใช้อำนาจทางการปกครองเป็นเกราะกำบังตน
วางแบบให้พิจารณา
ประมาณ หรือ ปมาณิก 4 (บุคคลที่ถือประมาณต่างๆ กัน, คนในโลกผู้ถือเอาคุณสมบัติต่างๆ กัน เป็นเครื่องวัดในการที่จะเกิดความเชื่อ
1. รูปประมาณ (ผู้ถือประมาณในรูป, บุคคลที่มองเห็นรูปร่างสวยงาม ทรวดทรงดี อวัยวะสมส่วน ท่าทางสง่า สมบูรณ์พร้อม จึงชอบใจเลื่อมใสน้อมใจที่จะเชื่อถือ
2. โฆษประมาณ (ผู้ถือประมาณในเสียง, บุคคลที่ได้ยินได้ฟังเสียงสรรเสริญ เกียรติคุณหรือเสียงพูดจาที่ไพเราะ จึงชอบใจเลื่อมใสน้อมใจที่จะเชื่อถือ
3. ลูขประมาณ (ผู้ถือประมาณในความคร่ำหรือเศร้าหมอง, บุคคลที่มองเห็นสิ่งของเครื่องใช้ความเป็นอยู่ที่เศร้าหมองเช่น จีวรคร่ำๆ เป็นต้น หรือมองเห็นการกระทำคร่ำเครียดเป็นทุกรกิริยา ประพฤติเคร่งครัดเข้มงวดขูดเกลาตน จึงชอบใจ เลื่อมใสน้อมใจที่จะเชื่อถือ
4. ธรรมประมาณ (ผู้ถือประมาณในธรรม, บุคคลที่พิจารณาด้วยปัญญาเห็นสารธรรมหรือการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงชอบใจเลื่อมใส น้อมใจที่จะเชื่อถือ
บุคคล 3 จำพวกต้น ยังมีทางพลาดได้มาก โดยอาจเกิดความคิดใคร่ ถูกครอบงำชักพาไปด้วยความหลง ถูกพัดวนเวียนหรือติดอยู่แค่ภายนอก ไม่รู้จักคนที่ตนมองได้อย่างแท้จริงและไม่เข้าถึงสาระ ส่วนผู้ถือธรรมเป็นประมาณ จึงจะรู้ชัดคนที่ตนมองอย่างแท้จริง ไม่ถูกพัดพาไป เข้าถึงธรรมที่ปราศจากสิ่งครอบคลุม
พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณสมบัติครบถ้วนทั้งสี่ข้อ (เฉพาะข้อ 3 ทรงถือแต่พอดี) จึงทรงครองใจคนทุกจำพวกได้ทั้งหมด คนที่เห็นพระพุทธเจ้าแล้ว ที่จะไม่เลื่อมใสนั้น หาได้ยากยิ่งนัก
ในชั้นอรรถกถา นิยมเรียกบุคคล 4 ประเภทนี้ว่า รูปัปปมาณิกา โฆสัปปมาณิกา ลูขัปปมาณิกา และ ธัมมัปปมาณิกา ตามลำดับ
https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=158
ส่วนเครื่องแบบผู้บวชชาวพุทธ ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้น (เหมือนยูนิฟอร์ม ขรก. กระทรวงทบวงกรมต่างๆซึ่งถูกกำหนดเช่นนั้น) นิกายนี้นิกายนั้นแล้วแต่ ส่วนใครจะเลื่อมใส ไม่เลื่อมใสยังไง ก็ตามแบบนั้น นี่เครื่องแบบ
ส่วนประเด็นที่ว่า "อาชีพพระสงฆ์ Full time กับ พาร์ทไทม์ มันแตกต่างกันอย่างไร"
ดูประวัติความเป็นมาก่อน
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samathijit&month=04-2021&date=15&group=6&gblog=5
ก่อนบวชผู้จะบวชทุกคน (บวชมากวันน้อยวันแล้วแต่) จะต้องท่องคำขอบรรพชาอุปสมบทให้ได้ก่อนจึงบวชได้ ตัวอย่าง เช่น "สัพพะทุกขะ นิสสะระณะนิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง ทัต์วา ปัพพาเชถะ มัง ภันเต อนุกัมปัง อุปาทายะฯ" เปรียบดังคำปฏิญญาตน แล้วก็รับเอากรรมฐานเบื้องต้น เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ, ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา ฯ หลักเป็นอย่างนี้ แต่ภาคปฏิบัติใครจะทำได้แค่ไหนอย่างไรขึ้นอยู่กับสติปัญญาแต่ละคน ซึ่งเปรียบเหมือนบัว ๓ เหล่า ๔ เหล่า ปัจจจุบันว่ามี ๕ เหล่าเพิ่มบัวเต่าถุยเข้ามาอีกเหล่าหนึ่งเป็น ๕ เหล่า
อิสลามถูกตั้งคำถามหนักกว่าเพื่อนโดยเฉพาะคำสอน
https://www.facebook.com/photo?fbid=4459602137438163&set=pcb.847777655884700
ยิ่งเมื่อกลุ่มตาลีบันยึดอัฟกานิสถานสำเร็จแล้วปกครองด้วยกฎหมายอิสลามกดขี่เพศตรงข้าม
https://www.facebook.com/TNNWorld/photos/a.361953458223574/519404495811802/
https://www.facebook.com/thematterco/photos/a.1735876059961122/2987515538130495/
https://www.facebook.com/photo/?fbid=194675799426728&set=gm.914886902434447
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น