วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2564

อิสลามเป็นลัทธิการเมืองการปกครอง

   



ลัทธิ  น. คติความเชื่อถือ หรือ ความคิดเห็น  เช่น  ลัทธิการเมือง,  ลัทธิประเพณี, ลัทธิศาสนา (ป.  ลัทธิ ว่า  ความเห็น  ความได้) 


 ว่าโดยพฤตินัยแล้วอิสลามเป็นลัทธิการเมืองการปกครอง (ปกครองตามระบอบของอิสลาม)  ถ้าย้อนกลับไปดูประวัติผู้ให้กำเนิดอิสลามเองจะเห็นชัด   ส่วนในประเทศไทยอิสลามสังกัด ก.มหาดไทย ซึ่งเป็นฝ่ายปกครอง ไม่ขึ้นกับกรมการศาสนา  ไปขึ้นกับมหาดไทย ซึ่งเป็นฝ่ายปกครอง  นี่ก็ชัดในตัวมันเองแล้ว  

นี่ก็ชัดเข้าไปใหญ่  รบเองปกครองเอง 




กฎหมายชารีอะห์เทียบก็เท่ากับรัฐธรรมนูญ



  

  กำเนิด

  ศาสนาอิสลามเกิดในดินแดนที่เป็นประเทศซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน ศาสนิกคือผู้นับถือศาสนาอิสลามนั้น เรียกว่า มุสลิม

  พระศาสดาของศาสนาอิสลามมีพระนามว่ามุฮัมมัด (มุฮำมัด ก็ว่า) คำว่าพระศาสดาในที่นี้ ชาวมุสลิมใช้คำเรียกว่า “นบี” [Nabi]

  พระนบีมุฮัมมัดประสูติที่เมืองมักกะฮ์ [Mecca] ที่มักเรียกกันว่าเมกกะ เมื่อประมาณ ค.ศ.570 คือ พ.ศ.๑๑๑๓ (ไม่ได้ตัวเลขที่แน่นอน) ในยุคที่ดินแดนอาหรับมีชนเผ่าต่างๆ แบ่งแยกกันค่อนข้างมาก

  ท่านกำพร้าบิดาตั้งแต่ยังไม่ประสูติ และกำพร้ามารดาเมื่อชนมายุ ๖ พรรษา ท่านปู่ดูแลท่านมาจนประมาณชนมายุ ๘ พรรษา ต่อนั้นมาท่านอยู่ในความดูแลของท่านลุง นามว่าอาบูตาลิบ ซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าฮะชิม

  ครั้นชนมายุ ๒๕ พรรษา ท่านได้ทำงานเป็นผู้ดูแลกิจการค้าขายของเศรษฐินีหม้ายนามว่าขะติยะฮ์ [Khadijah เนื่องจากหาสมุดจดวิชาไม่พบ การเขียนสะกดตัวอักษรอาจจะไม่แม่นยำนัก ต้องพึ่งตำราฝรั่ง]

232ต่อมา  เมื่อท่านได้สมรสกับท่านขะติยะฮ์แล้ว และมีเวลาหาความสงบมากขึ้น ประมาณ ค.ศ. 610/พ.ศ.๑๑๕๓ เมื่อชนมายุ ๔๐ พรรษา มีเรื่องว่า ขณะไปหาความสงบในถ้ำ ท่านได้มองเห็นว่าพระอัลเลาะฮฺเจ้าได้มอบพระโองการให้ท่านสั่งสอน

  ต่อแต่นี้  ท่านได้รับพระวิวรณพจน์เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ อันรวมกันเป็นพระคัมภีร์ "อัล-กุรอ่าน” ซึ่งมีหลักการสูงสุดว่า มีพระเจ้าพระองค์เดียวคืออัลเลาะฮฺ [Allah] และพระมุฮัมมัด เป็นนบี คือศาสดาผู้ประกาศพระวจนะของพระองค์ (ฝรั่งว่า prophet)

 227เมื่อพระนบีมุฮัมมัดเผยแพร่คำสอนในเมืองมักกะฮ์  ได้มีผู้ไม่พอใจเป็นปฏิปักษ์มุ่งร้าย แต่ท่านลุงผู้เป็นหัวหน้าเผ่าได้ช่วยคุ้มครองท่านจนกระทั่งถึงประมาณ ค.ศ.๖๑๙/พ.ศ.๑๑๖๒ ท่านลุงถึงมรณกรรม และในเวลาใกล้กันนั้น ท่านเศรษฐินีขะติยะฮ์ผู้ภรรยาก็ถึงมรณกรรม ท่านจึงขาดผู้คุ้มครอง

 232ท่านมองเห็นภัยจากการที่จะถูกบีบคั้นและห้ามสั่งสอน จึงพร้อมด้วยสาวกเวลานั้นประมาณ ๗๐ คน ตกลงตัดความสัมพันธ์สายเลือดกับเผ่าในเมืองมักกะฮ์ และในปี 622/๑๑๖๕ ได้พากันอพยพออกจากเมือง มักกะฮ์ ไปอยู่ที่เมืองยาธริบ [Yathrib] ที่บัดนี้ เรียกว่า มะดีนะฮ์ [Medina] ห่างขึ้นไปทางเหนือประมาณ ๔๐๐ กม.

   เหตุการณ์สำคัญนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นแห่งศักราชของศาสนาอิสลาม ที่เรียกว่า “ฮิจเราะฮ์” (hegira, hijrah,หรือ hijra เป็นคำอาหรับ แปลว่า อพยพ และศักราชของอิสลามจึงเท่ากับ พ.ศ. ๑๑๖๕)

   ในเมืองมะดีนะฮ์ ก็มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างเผ่าต่างๆ มาก รวมทั้งพวกยิว พระนบีต้องสู้รบทั้งกับชาวเมืองมักกะฮ์ และขยายวงสัมพันธ์ในเมืองมะดีนะฮ์

    กองคาราวานการค้าของชาวเมืองมักกะฮ์ ต้องผ่านทางมะดีนะฮ์ พระนบีมุฮัมมัดได้ยกกำลังไปซุ่มและรบตัดกำลังพวกมักกะฮ์ ทำให้พวกนั้นอ่อนกำลังลง และทางมะดีนะฮ์มีกำลังเพิ่มขึ้น พระนบีมุฮัมมัดมีชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในปี ๖๒๔/๑๑๖๗ แม้ว่าปีต่อมาจะพ่ายแพ้

    พวกมักกะฮ์ยกกำลังใหญ่ มีกำลัง ๑๐,๐๐๐ มาล้อมตีเมืองมะดีนะฮ์ ในปี ๖๒๗/๑๑๗๐ แต่ท่านรบชนะทำให้พวกมักกะฮ์แตกพ่ายกลับไป

231  ในเมืองมะดีนะฮ์เอง พระนบีก็ต้องใช้เวลาในการผนึกกำลัง มีการปราบพวกที่แข็งข้อ หรือไปเข้ากับพวกมักกะฮ์ โดยเฉพาะมีพวกยิวอยู่ ๓ เผ่า ซึ่งท่านได้ปราบปรามสำเร็จ เฉพาะอย่างยิ่งมียิวเผ่าหนึ่ง (Banu Qurayza) ที่กล่าวกันว่าคิดการร้ายต่อท่านระหว่างที่พวกมักกะฮ์มาล้อมตี ท่านจึงต้องปราบใหญ่โดยสังหารผู้ชายทั้งหมด และขายผู้หญิงและเด็กเป็นทาสออกพ้นไปจากมะดีนะฮ์

    ครั้นถึงเดือนมกราคม ปี ๖๓๐/๑๑๗๓ เมื่อทางมักกะฮ์อ่อนกำลังตีมะดีนะฮ์ไม่สำเร็จ และทางเศรษฐกิจก็เปลี้ย เพราะเส้นทางคาราวานถูกตัด พระนบีมุฮัมมัดจึงยกกำลังพล ๑๐,๐๐๐ ไปยังมักกะฮ์ และฝ่ายเมืองนั้นเปิดเมืองรับยอมอ่อนน้อมโดยดี ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ฝ่ายศัตรูถูกสังหารเพียง ๒๘ คน และฝ่ายมุสลิมเสียชีวิตเพียง ๒ คน

    พระนบีมุฮัมมัดใช้เวลา ๑๕-๒๐ วัน จัดการวางระบบบริหารปกครองเมืองมักกะฮ์ โดยเฉพาะได้ทำลายรูปเคารพ (idols) ให้หมดจากมหาวิหารกะบะฮ์  (บางทีใช้เขียนเป็น กะอุ บะฮุ Kabah ฝรั่งมักเขียน kaaba) และศาสนสถานใกล้เคียง แล้วกลับสู่มะดีนะฮ์

    ในช่วงนี้  พระนบีต้องออกรบกับชนเผ่าอื่นๆ ที่เข้มแข็ง เมื่อท่านชนะ ต่อมาก็มีชนเผ่าต่างๆ ส่วนมากมาขอเข้าด้วย จนกระทั่งก่อนที่พระนบีเสด็จสวรรค์ในวันที่ ๘ มิถุนายน ปี ๖๓๒/๑๑๗๕ ท่านไม่เพียงเป็นผู้ปกครองอาระเบียทั้งหมดเท่านั้น แต่ได้เคยยาตราทัพ ๓๐,๐๐๐ ไปกำราบชายแดนซีเรียแล้วด้วย
 

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samathijit&month=08-2021&date=19&group=6&gblog=63


รบ ชนะ ยึด ทำลายวัฒนธรรมเดิมแล้วปกครอง


นั่นความคิดมุสลิมทั้งโลกจะออกแนวนั้น

















กลับก็กินลูกตะกั่วดิ  





สรุปข่าวช่วงดึก (10/9/2021) กลุ่มตาลีบันได้บอกว่า ผู้หญิงไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้ พวกเธอควรจะทำหน้าที่แค่ให้กำเนิดลูกเท่านั้น
Sayed Zekrullah Hashimi โฆษกตาลีบันได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว TOLO ว่า
มันไม่จำเป็นสำหรับผู้หญิงที่จะต้องไปอยู่ในคณะรัฐมนตรี พวกเธอควรจะทำหน้าที่ให้กำเนิดลูก ผู้หญิงที่ออกมาประท้วงไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้หญิงในอัฟกานิสถาน
กลุ่มตาลีบันไม่พิจารณาให้ผู้หญิงนั้นได้มีบทบาทครึ่งนึงของสังคมและการที่อนุญาตให้ผู้หญิงนั้นมาเป็นรัฐมนตรีจะเป็นการวางภาระที่ผู้หญิงไม่สามารถแบกรับได้
นอกจากนี้ยังมีคลิปวีดีโอที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบที่แสดงให้เห็นถึงบทสนทนาระหว่าง Hashimi และสำนักข่าว TOLO โดยเขาได้ประกาศว่า
ผู้หญิงที่ออกมาประท้วงตามท้องถนนนั้นไม่ใช้ผู้หญิงของอัฟกันโดยผู้หญิงของอัฟานิสถานนั้นเป็นผู้หญิงที่ให้กำเนิดชาวอัฟกันแล้วให้การศึกษาจริยธรรมทางอิสลามแก่พวกเขา




จดหมายของซาห์ราได้เรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันส่งเสียงปกป้องชาวอัฟกานิสถานทุกคนให้รอดพ้นจากกลุ่มตาลีบัน เธอเริ่มต้นจดหมายว่า “ฉันเขียนจดหมายนี้ด้วยหัวใจที่แตกสลาย และยังคงมีความหวังลึกๆ ว่า ทุกคนจะร่วมกับฉันในการปกป้องผู้คนที่งดงามของประเทศนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้สร้างหนังในอัฟกานิสถาน ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของตาลีบัน

“ไม่กี่สัปดาห์ก่อน กลุ่มตาลีบันได้เข้ายึดครองหลายพื้นที่ในประเทศ พร้อมกับสังหารหมู่ประชาชนไปอีกมาก ทั้งยังลักพาตัวเด็กไปจำนวนหนึ่ง มีการนำเด็กผู้หญิงไปขายเป็น ‘เจ้าสาวเด็ก’ ขณะเดียวกัน พวกเขายังสังหารผู้หญิง เพียงเพราะการแต่งตัวของพวกเธอ พร้อมกับควักลูกตาของพวกเธอ นอกจากนี้พวกเขายังได้ทรมานและฆาตกรรมเหล่านักแสดงตลก นักประวัติศาสตร์ และกวีที่เรารัก เช่นเดียวกับหัวหน้าฝ่ายวัฒนธรรมและฝ่ายสื่อของรัฐบาลชุดก่อนหน้า”

นอกจากนี้ ตาลีบันยังลอบสังหารเจ้าหน้าที่รัฐหรือทุกคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐ กองกำลังตาลีบันจับผู้ชายจำนวนมากแขวนคอประจาน และจับครอบครัวหลายแสนครอบครัวแยกออกจากกัน ปัจจุบัน หลายครอบครัวถูกจับมาไว้ในแคมป์ที่กรุงคาบูล บังคับให้ครอบครัวโยกย้ายจากถิ่นที่อยู่เดิม มาอยู่รวมกันภายใต้สภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ถูกสุขอนามัย ขาดแคลนอาหารและเสบียง จนมีการปล้นสะดมเกิดขึ้น และที่สำคัญ เด็กทารกจำนวนมากกำลังจะเสียชีวิตเพราะขาดนม นี่คือวิกฤติของมนุษยชาติ แต่ทั่วโลกกลับยังคงเงียบงัน

“เราเติบโตมาด้วยความคุ้นชินจากการเงียบงันของโลก แม้เราจะรู้ดีว่าไม่ยุติธรรมนัก แต่การตัดสินใจทอดทิ้งพวกเรา ประชาชนชาวอัฟกานิสถานครั้งนี้ ด้วยการถอนกำลังทหารออกจากสมรภูมิรบเป็นสิ่งที่ผิด นี่คือการทรยศประชาชน และทรยศต่อทุกการกระทำของชาวอัฟกานิสถานที่ช่วยกันเอาชนะสงครามเย็นให้กับโลกตะวันตกเมื่อหลายปีก่อน พวกเราทุกคนกำลังถูกลืมเลือนไป ภายใต้การปกครองยุคมืดในอุ้งมือของตาลีบัน และแม้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่พวกเรา โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ กำลังกลับสู่ความพ่ายแพ้อีกครั้ง จากการทอดทิ้งพวกเราครั้งนี้

“พวกเราต้องการเสียงของทุกคน จากสื่อมวลชน จากรัฐบาล แต่องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งหลายกลับเงียบงัน ราวกับว่าการยึดประเทศของตาลีบันนั้นเป็น ‘ข้อตกลงสันติภาพ’ ข้อเท็จจริงก็คือมันไม่ใช่ สิ่งที่เขาพูดนั้นเพียงเพื่อให้พวกเขาได้กลับคืนสู่อำนาจเท่านั้น ในขณะที่อยู่ในช่วงเจรจาทำข้อตกลง พวกเขาก็ยังคงทำเหมือนเดิม นั่นคือโหดเหี้ยมกับประชาชนอย่างเสมอมา”

ซาห์รายังบอกอีกด้วยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอได้สร้างวงการภาพยนตร์ขึ้นด้วยความยากลำบาก ท่ามกลางความเสี่ยงที่จะล้มเหลว ทว่าเมื่อตาลีบันขึ้นครองอำนาจ ก็มีโอกาสสูงที่จะ ‘แบน’ ผลงานศิลปะทุกประเภท เธอและผู้สร้างหนังคนอื่นๆ น่าจะอยู่รายชื่อต้องห้ามที่รัฐบาลตาลีบันต้องกำจัดต่อไป

“เมื่อใดก็ตามที่กลุ่มตาลีบันกลับเข้าสู่อำนาจ จะไม่มีเด็กผู้หญิงแม้แต่คนเดียวที่ได้เรียนหนังสือ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีผู้หญิงมากกว่า 9 ล้านคนในอัฟกานิสถานได้รับการศึกษา สิ่งที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ หลังจากกลุ่มตาลีบันยึดครองเมืองเฮรัต เมืองที่ใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ผู้หญิงภายในเมืองเกือบครึ่งไม่ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัย เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่ทั่วโลกไม่รับรู้ พวกเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็สามารถทำลายโรงเรียนเป็นจำนวนมาก และเด็กผู้หญิงกว่า 2 ล้านคน ถูกบังคับให้ต้องออกจากระบบการศึกษาทันที

“ฉันไม่เข้าใจโลกใบนี้เลย ฉันไม่เข้าใจความเงียบงันนี้ จริงอยู่ แม้ฉันจะอยู่สู้ต่อเพื่อประเทศของฉัน แต่ฉันไม่สามารถที่จะต่อสู้เพียงลำพังได้ ฉันต้องการพวกคุณ ได้โปรดช่วยเหลือพวกเรา ทำให้โลกใบนี้หันมาสนใจ ทำให้โลกหันมารับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอัฟกานิสถาน



ตาลีบันก็จัดฉากเป็น เอาผู้หญิงมาเดินหนุนแล้ว 



อาวุธไม่ห่างกายแม้ละหมาดอ้อนวอนพระเจ้าก็ตาม  








กาเฟร และ อทิส เขาชอบตั้งคำถามว่า..ใครสร้างพระเจ้า!! เพื่อที่จะให้มุสลิมตอบไม่ได้!!
แต่มุสลิมหลายคนตอบไปแล้วว่า. พระเจ้ามีมาแต่เดิม..ไม่ได้ถูกสร้าง! พระองค์ทรงเป็นอมตะ ทรงนิรันทร์
เอทิสและกาเฟรไม่เชื่อ!!
แต่มุสลิมถามว่า..วัตถุในจักวาลทั้งหมดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? เช่น หลุมดำ เนบิวลา ฝุ่น ก๊าซ
เขาตอบว่า..เกิดมาเอง..
คำตอบนี้เขาเชื่อเขารับได้..
แต่ถ้าบอกว่า พระเจ้ามีมาแต่เดิม
คำตอบนี้เขาไม่เชื่อ!!
ผมนี้..งงๆๆๆๆๆในความเชื่อของ อทิสและกาเฟรจัง!








TB ทำวงการ​ศึกษา​ปั่น​ป่วน
ปลดอธิการบดี​ เอาคนไร้การศึกษา​มาเป็นแทน
ทำให้​อาจารย์​หลายๆ​คนลาออก
ศาสตราจารย์ออสมัน บาบรี บัณฑิตจากอินเดียและรัสเซียด้วยปริญญาเอกจากเยอรมนี มีงานวิจัย​ทางวิทยาศาสตร์หลายสิบฉบับเกี่ยวกับเภสัชศาสตร์และการบำบัดด้วยพืชในประเทศต่างๆ ถูกปลดออกจากหอธิการบดี​มหาวิทยาลัยคาบูล และถูกแทนที่ด้วยผู้ชายคนนี้ที่เป็นมุลเลาะห์
Dr. Obaidullah Wardak ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยคาบูล​ ลาออก​ Wardak ได้ปริญญาเอก ทางคณิตศาสตร์
เขาบอกว่า:
ผมขอทำงานเป็น​ คนขับรถเมล์​ดีกว่าที่ต้อง​มาทำงานภายใต้อธิการบดี​ที่ไม่รู้หนังสือ





https://www.facebook.com/MGRonlineLive/photos/a.654644807900440/4878668652164680/










บังกลาเทศ จะยื่นถอดอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ







ลูกจุฬาราชมนตรี ได้เป็น ส.ว. ยกมืออยู่ในสภา

ซากีย์ พิทักษ์คุมพล สมาชิกวุฒิสภา บุตรของอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ที่เข้าสู่ตำแหน่ง ส.ว. ในโควต้าของสำนักจุฬาราชมนตรี






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งดใช้บริการ

  https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3724456 https://www.facebook.com/photo/?fbid=491527119790156&set=a.433526435590225 https:...