วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ดาวะห์ ๒ ขา

 

วิธีการเผยแผ่ของมุสลิมมี ๒ ขา (๒ วิธี)  เงิน อำนาจ ขาหนึ่ง  ลูกปืน ระเบิด อีกขาหนึ่ง

เบื้องแรกเลย  ก็แหวกช่องกฎหมายเข้ามาก่อนแล้วก็ใช้วัฒนธรรมประเพณีของตนกลืน  




 














ขาหนึ่ง ใช้อำนาจ กับ เงิน 

ส่วนอีกขาหนึ่งนั้น เบียดเบียนประหัตประหาร ยิงทิ้งแม้แต่พระก็ไม่เว้น สร้างความหวาดกลัวกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่  เลียนแบบนบีมูฮำหมัด  ขานี้ใช้ลูกปืน กับ ระเบิด









พระบิณฑบาต ต้องใช้  จนท.ถืออาวุธคุ้มกัน  คนในพื้นที่บวชพออยู่ได้ ถ้าให้พระนอกพื้นที่ไปอยู่เขาไม่ไปหรอก  



พระครูเจ้าอาวาสวัดชายแดนใต้  วัดถูกยิงร้อยกว่านัดมรณภาพ



ผู้มีอำนาจกลัวตัวสั่น งบลับเปิดไม่ได้  ถ้าเปิดก็ไม่ลับว่าซั่น










เขาทำได้ผล  สามจังหวัดชายแดนใต้  วัดร้างเยอะแล้ว




  


เขาใช้ความรุนแรงทั่วโลก มัดยิดนอกจากใช้ละหมาดอ้อนวอนอัลลอฮฺแล้วยังใช้เก็บอาวุธด้วย  นี่ที่อัฟกานิสถาน  มัสยิดชายแดนใต้ จนท.ก็เคยจับได้  วิธีนี้เขาทำมาแต่อดีตแล้ว  ไม่ใช่แกล้งว่านะ ความจริงเป็นอย่างนี้ ก็ว่าไปตามนั้น  




ปัจจุบัน  เขาไม่ได้จำกัดพื้นที่อยู่แค่สามจังหวัดชายแดนใต้แล้ว ระบาดไปถึงยอดดอยภาคเหนือแล้ว  จังหวัดที่ติดริมโขง เช่น บึงกาฬ หนองคาย นครพนม  สร้างมัดยิดรอคนไว้แล้ว  ไม่มีมุสลิมอาศัยเขาก็สร้างรออพยพคนเข้าไปตั้งเป็นชุมชน

นี่ตัวอย่างดอยอ่างขาง ดอยปุยที่ภิกษุรูปหนึ่งโดนมากับตนเอง (ตัดมา)

...อยู่ได้เดือนกว่าก็เลยเดินทางไป ดอยอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่

ตอนอยู่ดอยอ่างขางได้เจอเหตุการณ์หนึ่งทำให้ตกใจมาก คือ ถูกคนอิสลามทำร้าย

เรื่องมีอยู่ว่า มีพระจะไปซื้อของฝากญาติทางบ้าน ก็ชวนเราไปเป็นเพื่อน ตรงด้านหน้าสถานีเกษตรหลวง บังเอิญร้านที่ซื้อเป็นร้านอิสลาม เราก็ยืนอยู่หน้าร้านรอพระเพื่อน ปรากฎว่า มีคนอยูชั้นบนโยนกระสอบลงมาโดนเราเต็มๆ แต่ดีข้างในไม่ใช่ของแข็ง ก็เลยไม่เป็นไรมาก ด้วยความตกใจ ก็เลยรีบเดินกลับ คนรอบๆ เขาก็เห็นนะ แต่ไม่มีใครกล้าว่าอะไร

อยู่ดอยอ่างขางหนึ่งเดือน ก็เลยเดินทางไปดอยปุย มาอยู่ดอยปุย ได้เจอเอกสารเล่มหนึ่ง จริงๆแล้วก็เคยอ่านนานแล้วเป็นเอกสารที่หลุดออกมาเกี่ยวกับแผนการยึดครองประเทศไทยของศาสนาอิสลาม

ในเอกสารเขียนถึงดอยอ่างขาง และดอยปุยแล้วก็เป็นอย่างที่เขียนไว้จริงๆ คือ เขาสำเร็จแล้ว คือตรงไหนเป็นแหละท่องเที่ยว ย่านเศรษฐกิจ การค้า เขาจะส่งคนของเขาลงไปให้แต่งงานกับคนในพื้นที่แล้วค้าขาย เพื่อเงินจะได้อยู่ในกลุ่มคนของเขา

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าร้านขายของฝากในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จะมีร้านของคนอิสลามเกือบครึ่งหนึ่ง แล้วมีร้านอาหารใหญ่โต ตั้งอยู่หน้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง หรืออย่างดอยปุยร้านขายของฝากในหมู่บ้านม้งรวมถึงหน้าตำหนักราชนิเวศภูพิงค์ ก็เหมือนกัน

จากที่สังเกตุ ตอนเช้าไปบิณฑบาต ร้านที่เป็นคนอิสลามเขาจะเปิดร้านก่อนคนพุทธคือเปิดแต่เช้ามืด พอตอนเช้า พระไปบิณฑบาตนักท่องเที่ยวก็จะไปซื้อของจากร้านอิสลามมาใส่บาตร อย่างหน้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขางกับหน้าตำหนักราชนิเวศภูพิงค์ประจำเลยจะได้แต่อาหารอิสลาม

ก็คงไม่แปลกที่มีข่าวว่าจะมีการสร้างโรงงานผลิตอาหารฮาลาลที่ดอยหล่อ และช่วงที่อยู่ดอยปุยก็เจออีกเหตุการณ์หนึ่ง คือ ตอนเช้าเราจะลงไปบิณฑบาตในหมู่บ้านม้ง มียายคนหนึ่งแกจะพาหลานสองคนมารอใส่บาตรตรงจุดจำหน่ายตั๋วเพื่อเข้าชมดอกฝิ่นเป็นประจำทุกๆวันไม่เคยขาด ดูแล้วก็คงจะมีฐานะอยากจน แต่มีศรัทธามาใส่บาตรทุกวัน เรายังรู้สึกเปลื้มเลย

แต่แล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง ในขณะกำลังเดินบิณฑบาต ปรากฎว่ามีคนอิสลามประมาณร้อยกว่าคนเหมารถแดงขึ้นมาถึงแล้วก็แบ่งกันแยกย้ายเดินสำรวจดูหมู่บ้าน จะว่ามาเที่ยวทำไมมาแต่เข้ามืดร้านค้ายังไม่เปิดเลย พอเดินบิณฑบาตมาถึงยายที่ว่า ปรากฎว่ามีคนอิสลามล้อมอยู่ประมาณ 10 คน พอเห็นพระเดินมาก็เปิดทางให้ยายใส่บาตร พอใส่เสร็จก็มาล้อมยายอีก และจากวันนั้นยายคนนี้ไม่มาใส่บาตรอีกเลย ก็แปลกใจเหมือนกัน

จริงๆแล้วก็เจออะไรมาเยอะ แต่ไม่อยากเอามาเล่าก็เฉพาะบางส่วน จากเหตุการที่พบเจอกับความคิดว่าออกจากมหาลัยสงฆ์แล้วจะไม่กลับมาอีก เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจขึ้น ขนาดหนีจากเมืองมาอยู่ตามป่าเขา กลับมาต้องมาเจออะไรแบบนี้ ยอมรับว่ารู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้ายังมาอยู่แบบนี้ต่อไปในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อย่างที่ว่าพระก็เหมือนกับเต่าไม่มีกระดองใครสาดอะไรมาก็โดนเต็มๆ ก็เลยตัดสินใจกลับจำพรรษาที่วัดในสังกัดเพื่อมาตั้งหลักใหม่

ที่เคยเล่าว่า มีคนอิสลามมาสำรวจดูหมู่บ้านม้งตอนพระบิณฑบาต จริงๆแล้วมีข้อมูล คือ เขามาสำรวจดูว่าบ้านไหนใส่บาตรเขาจะยื่นข้อเสนอเพื่อให้เลิกใส่เพื่อให้พระอยู่ไม่ได้ เช่นกับยายที่พาหลานมาใส่บาตร เขาเห็นว่ามีเด็กด้วยกลัวเด็กจะซึมซับ เห็นแล้วสงสารยาย บางวันแกยังอุตส่าห์มาแอบดักใส่บาตร

ชาวเขามีประเพณีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ทุกคนที่เกิดก็ซึมซับในประเพณีวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านความเชื่อ ถึงบางคนนับถือพุทธก็จริง แต่ยังขาดความเข้าใจประเพณีพุทธ เพราะไม่ได้ปลูกฝังมาแต่บรรพบุรุษ ซึ่งต่างจากชาวคริสในสกลนคร ถึงจะนับถือคริสก็จริง แต่พวกเขานับถือพุทธมาก่อน คุ้นเคยกับประเพณีพุทธมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แล้วค่อยมาเปลี่ยนเป็นคริสต์ภายหลัง เมื่อเปลี่ยนมานับถือคริสต์ก็จริง สิ่งที่ถูกฝัง สิ่งที่คุ้นเคยก็ยังอยู่ จึงไม่แปลกที่พวกเขายังมาใส่บาตร หรือบางคนที่ใส่บาตรมีญาติพี่น้องที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นคริสต์มาบวชอยู่ก็มี ที่มหาลัยสงฆ์ก็มีพระเพื่อนที่มาจากสกลนคร ก็เล่าให้ฟัง เขามาบวช แต่ญาติทางบ้านเปลี่ยนไปนับถือศริสต์แต่ก็ยังใส่บาตรอยู่ และที่สำคัญ คือ ชาวคริสต์ในสกลนครนั้นถูกซื้อตัวไป เรื่องการปฏิบัติจึงไม่ค่อยเคร่งเท่าไหร่ แต่อย่าลืมว่าอิสลามไม่เหมือนคริสต์นะ คริสต์ยังเข้ากันได้ แต่อิสลามเขาไม่เอาใครนะ












แขกปาทาน รับเป็นผู้มีอิทธิพลที่สร้างประโยชน์ให้บ้านเมือง 








เสาไฟทางรูปพระจันทร์เสี้ยว ถ. อ.แม่สอด  วิธีใช้วัฒนธรรมตนกลืน




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งดใช้บริการ

  https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3724456 https://www.facebook.com/photo/?fbid=491527119790156&set=a.433526435590225 https:...