https://pantip.com/topic/41864658
เรื่องจะยาวหน่อยนะคะ ฉันอยากเขียนมันขึ้นมา เพื่อเป็นข้อเตือนใจและเตือนถึงความอันตรายของการปฎิบัติสมาธิแบบที่ไม่เหมาะกับตัวเองให้คนที่อาจมีอาการเช่นเดียวกันรับรู้และระวังค่ะ
คุณเคยสงสัยว่า ทำไมบางคนนั้นสมาธิแล้วแสดงอาการแปลกๆ ท่าทางหรืออะไรก็ตามที่ผิดแปลกไปจากปกติ หรือนั้นคืออาการที่เรียกว่ากรรมเก่าออก ? หรือหลับตาแล้วเห็นโน้นนี้ แสงเอย ใดๆเอย มันคืออะไรกันแน่ ?
เรื่องนี้ค่อยข้างจะยาว คุณเคยได้ยินไหมคะว่ากรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ฉันกำลังจะเล่าเรื่องการประสบพบเจอสิ่งที่เรียกว่ากรรมตามสนอง อย่างทีละขั้นตอน ตั้งแต่จุดเริ่มกรรม จุดที่กรรมกำลังสะสมกำลังเพื่อส่งผล และจุดที่ฉันทรมานจากผลของกรรมที่ทำ และจุดที่ฉันหลุดพ้นกรรมนั้นมาได้อย่างมีสติ และเรื่องนี้ค่อนข้างอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์
- ขอเริ่มเรื่องด้วยคำถามว่า แสงที่เห็นเมื่อหลับตาเมื่อทำสมาธิคืออะไร ?
หากลองตั้งคำถามนี้ในบอร์ดวิทยาศาตร์ก็จะได้คำตอบอีกอย่าง หากในบอร์ดที่เกี่ยวกับพลังจิตหรือการทำสมาธิก็จะได้คำตอบที่เหนือโลกอีกอย่าง ส่วนตัวฉันเองค่อนข้างชอบหลักการที่มีเหตุผลอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ และเชื่อว่าศาสนาพุทธก็คือศาสนาแห่งปัญญา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เพราะการเฝ้าดูทุกสิ่งเกิด-ดับตามความเป็นจริง เกิดปัญญารู้แจ้งและดับทุกข์ได้ตามหลักอริยสัจ ๔ (ถ้าพูดผิดในข้อการตรัสรู้ขออภัยล่วงหน้านะคะ เนื่องจากอิงตามความเข้าใจตัวเอง) ดังนั้น ฉันจึงเป็นผู้ที่นับถือพุทธเพราะชอบหลักการที่มีเหตุและผลนี้
ปกติฉันก็นั่งสมาธิบ้าง (ไม่ประจำ) ก่อนนอน ระยะเวลาที่นั่งได้ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยกำหนด พุธ เข้า-โธ ออก เอาสติจับที่ลมหายใจพร้อมคำบริกรรม และมีประสบการณ์ไปปฏิบัติติธรรมตอนเพิ่งเรียนจบ ป.ตรี แนวเจริญสติปัฏฐาน 4 ซึ่งก็ได้ประสบการณ์ที่ดี จากคนที่ไม่เคยนั่งสมาธิเลยก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจการทำสมาธิและการอยู่นิ่งๆดูลมหายใจเข้าออกได้มากขึ้น หลังจากนั้นก็ไปอีกครั้ง ฉันขอเกริ่นให้พอรู้คร่าวๆถึงประสบการณ์ที่มีว่าเคยทำสมาธิมาบ้างแล้ว และครั้งนี้คือการไปเข้าคอร์สฝึกสมาธิอีกครั้ง หลังไม่ได้ไปมาหลายปี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ค่ะ
เข้าเรื่องราวอันยืดยาวนับ 10 วันแห่งการปฏิบัติที่เปิดประสบการณ์ครั้งแรกที่ชีวิตนี้ไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันมีทั้งความสุข และมันสร้างความทุกข์จนฉันรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณสามารถดับจากร่างในนี้ได้ชั่ววินาทีใดวินาทีหนึ่ง
หลักสูตร 10 วัน คอร์สปฏิบัติติกรรมฐาน ที่ฉันรู้จากคนดังท่านหนึ่ง มันฟังดูน่าสนใจ ความคาดหวังก่อนไปคือแค่อยากไปฝึกตัวเองให้ตื่นเช้าขึ้น และมีสมาธิมากขึ้น โดยไม่มีความเข้าใจใดๆเลยกับวิธีปฏิบัติแนวนี้ รู้แค่วิธีการคร่าวๆ ดูลมหายใจตามความจริง โดยไม่บริกรรม
1-3 วันแรก คือการเอาสติจดจ่อ ดูลมที่เข้าออกช่องจมูก แค่ดูตามความเป็นจริง ไม่มีคำบริกรรมใดๆ หนึ่งวันนั่งนานครั้งละ 1-1.5 ชั่วโมง/ครั้ง รวมทั้งวันคือนั่ง 11 ชั่วโมง ส่วนตัวฉันเองทำได้แค่ 9 ชั่วโมง นอกนั้นในชั่วโมงปฏิบัติในห้องพักก็มีแอบงีบบ้าง ฉันผ่านไปได้ด้วยดี มีสมาธิมาก ไม่ค่อยส่งจิตออกนอกไปปรุงแต่งเรื่องราวตามความเคยชิน
วันที่ 4 ช่วงบ่าย เริ่มต้นวิธีการสอนทำวิปัสสนา โดยให้เพ่งจิตดูเวทนาที่เกิดขึ้นตรงช่องเล็กๆบริเวณที่ลมหายใจ เข้า-ออก ให้สัมผัสว่าเห็นอะไรบ้าง
เวทนาหยาบ-เวทนาละเอียด ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าต้องดูหรือเห็นอะไร ฉันเห็นแค่ลมหายใจตัวเอง ฉันคือผู้ปฏิบัติใหม่ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า สมาธิ กับ วิปัสสนาแตกต่างกันอย่างไร แต่ฉันก็ทำต่อไปเรื่อยๆ
และวิธีการก็เพิ่มขึ้นคือ
เคลื่อนย้ายสติให้เริ่มจับที่กลางหัว > เลื่อนต่อไปทั่วหนังหัว > หน้าผาก > คิ้ว > ตา > คอ > คอด้านหลัง > หลังส่วนบน-ล่าง > ทุกๆส่วนของร่างกายไล่จนถึงเท้า และไล่กลับขึ้นมาด้านบนใหม่ ทำแบบนี้ซ้ำๆ โดยนั่งสมาธิหลับตา จับความรู้สึกใดก็ตามให้ได้ เย็น ร้อน แสงสว่าง คัน อะไรก็แล้วแต่ ...
ฉันสัมผัสได้แค่ว่าเวลาหลับตาจะเห็นแสงสว่างเหมือนส่องมาจากหน้าผากด้านซ้ายและที่จุดบนอื่นๆ แรกเริ่มมันไม่เคลื่อนไหว ต่อมามันอาบไปทั่วหน้าผาก ทั้งที่ทั้งห้องไม่ค่อยมีแสงยิ่งหลับตาทำสมาธินานยิ่งเห็นชัด มันคือการเห็นชัดเจนเกินจะบอกแค่ว่ารู้สึก ฉันเคยเอาผ้ามาผูกตาให้มืดที่สุดเมื่ออยู่ในห้องพัก แม้ช่องระหว่างจมูกที่แสงรอดเข้าได้ก็เอาผ้ามาปิดเพื่อทดสอบเรื่องนี้ และแสงนั้นก็ค่อยๆสว่างขึ้นเช่นเคยเมื่อหลับตาทำสมาธิ เรื่องแสงนี้แม้แต่ตอนนั่งสมาธิที่บ้านแบบกำหนดดูลมหายใจที่จมูกก็เคยเห็นแสงแต่มันจางๆบางๆ บางทีมีบางทีไม่มี ก็ไม่รู้จริงๆว่าคืออะไร แต่ครั้งนี้มันชัดมาก และเคลื่อนที่ตามการนึกคิดหรือจิตฉันได้ คิดไปที่คิ้วมันก็ไปที่คิดแบบค่อยๆไหลแผ่ไป
วันที่ 5-6 ก็ดำเนินต่อไปเช่นวันที่ 4 แต่ฉันเริ่มมีอาการเมื่อจะนอน หัวสัมผัสถึงหมอนฉันเริ่มมีความรู้สึกมึนหัวอย่างแรง เหมือนมีการหมุนวนๆบนหัวแม้หลับตาก็ยังรู้สึกมึนๆอยู่สักครู่ก่อนมันจะหายไป อ่อ น่าจะเพราะนั่งหลับตานาน เลือดไปเลี้ยงหัวไม่พอมั้ง ฉันให้คำตอบตัวเองแบบส่งๆไป
ต่อวันที่ 7 ฉันไม่เคยรู้จักเวทนาละเอียดมาก่อน แค่รู้สึกว่าลมหายใจจะเบาลงเมื่อทำสมาธินานๆ อ.ท่านว่าลมหายใจก็ต้องละเอียดลงอยู่แล้วเพราะร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว ฉันได้แต่แย้งในใจ ก็เสียงสอนในวีดีโอให้ให้สัมผัสอะไรก็ได้ แม้จะแค่ความธรรมดาที่ไม่พิเศษ สัมผัสไม่ได้ก็ไม่ต้องผิดหวัง ให้วางอุเบกขา
รู้ว่าลมออกร้อนกว่าลมหายใจเข้า ก็นับว่าดีแล้ว แต่เมื่อรายงานผลปฏิบัติติแก่อาจารย์ก็ถูกตำหนิว่า นี้มันวันที่ 7 แล้วทำไมถึงไม่มีความรู้สึกอะไรสักที ฉันเคยรายงานอาจารย์เรื่องว่าเห็นแสงไปก่อนหน้านี้ ท่านก็บอกไม่ต้องสนใจ ให้เคลื่อนความสนใจไปที่ส่วนอื่นๆต่อไปเรื่อยๆ ครั้งนี้ฉันเลยไม่ได้บอกท่านอีก
**ความคิดเห็นที่ 1
ดังนั้นฉันจึงพยายามเพ่งสติหรือสมาธิหรือจิต (แล้วแต่ใครจะเรียกเลยค่ะ) มากขึ้นจากที่เคยปล่อยรู้สึกสบายๆ เพื่อสัมผัสอะไรก็ได้ที่มันพิเศษๆในร่างกายนี้ให้เจอเหมือนคนอื่น จนในที่จุดฉันสัมผัสได้ถึงการเต้นตุบๆที่ช่องเข้าออกลมหายใจที่มีฐานเหนือปากบน ความรู้สึกมันเหมือนก้อนมนๆ คล้ายไข่ไซส์จิ๋วเล็กๆ เต้น ตุบ ตุบ ฉันดีใจมากในที่สุดฉันก็สัมผัสอะไรที่พิเศษได้ เวทนาที่ละเอียด
และฉันก็เคลื่อนสติหรือจิตไปที่ส่วนอื่นๆแล้วฉันก็สัมผัสมันได้เพิ่มขึ้นๆ การเต้น ตุบๆ มีทุกส่วนในร่างกาย ว้าวฉันทึ่งมาก เริ่มเข้าใจแล้วว่าผู้ที่สามารถรู้ถึงการทำงานของร่างการภายในโดยไม่เคยศึกษาเห็นการทำงานของตับ ไต หัวใจ เขารู้กันได้ยังไง จิตที่มีสมาธิสูงก็เหมือนกับการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานพอ มันทำให้เราเห็นสิ่งที่ละเอียดยิ่งๆขึ้น นี่แค่การฝึกจับความรู้สึกที่ผิวหนังฉันยังสัมผัสได้ถึงชีพจรที่เต้นได้แล้ว
ในขณะที่กลับมาตั้งสติสำรวจที่หน้าจะเห็นแสงขาวค่อยๆไล่ไปฉาบตรงจุดที่ตั้งสติไปจับทุกครั้ง เช่นบริเวณปลายหางตาทั้งสองข้าง ฉันสัมผัสถึงก้อนตุบ ๆ ทั้งสองฝั่งที่หางตา และมีแสงกระจายจากจุดนั้น เหมือนการฉายไฟออกจากรูปทรงกรวย มันสว่างวาบและบีบเข้า สลับซ้ำๆอยู่แบบนั้น
ส่วนที่คิ้ว แสงนั้นจะฉาบปกคลุมไปทั้งคิ้วทั้งสองด้านก่อน จากนั้นจึงตามมาที่ก้อนมนๆ ตุบตุบที่ใต้คิ้วทั้ง 2 มันตุบๆตรงกระบอกตาทั้ง 2 ข้าง
แล้วก็ล่วงถึง 3 ทุ่มคืนวันที่ 7
เมื่อจะนอนฉันสัมผัสได้ถึงเม็ดตุบๆที่หัวมันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ฉันงงว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่ได้หลับตากำหนดด้วยซ้ำ เหมือนร่างกายมันกำหนดรู้สิ่งนี้เอง และเมื่อลองพยายามละความสนใจจากหัวไปที่ส่วนอื่น ร่างกายส่วนอื่นเหมือนรับรู้พากันเต้นตุบๆ จนรู้สึกปวดไปหมดทั้งร่างกาย ฉันงงมากว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร มันคือเพราะเราฝึกสมาธิมากซะจนจิตไม่ยอมถอนออกจากสมาธิแล้วไปเพ่งดูการเต้นของชีพจรเองหรอ ? แต่มันคือการรับรู้ที่เจ็บปวดทั้งร่าง ร่างที่มีจังหวะชีพจรเต้นรัวเร็ว
ฉันไม่รู้วิธีแก้ เพราะไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อน เจ็บจากเม็ดเล็กๆที่เต้นไปทั่ว หรืออาการของฉันตรงกับที่วีดีโอบรรยาย จิตใต้สำนึกสื่อสารกับร่างการผ่านเวทนา แค่รับรู้ไม่ปรุงแต่งมันจะจบลง เพราะทุกสิ่งคือความอนิจจัง ควรวางอุเบกขาให้ได้
**ความคิดเห็นที่ 2
ฉันได้แค่กินยาแก้ไมเกรน ทั้งที่เมื่อลืมตาตื่นขมับด้านขวาที่มักปวดหัวข้างเดียวก็ไม่เต้นรัวขนาดนั้น มันไม่ใช่อาการไมเกรน มันเป็นอาการที่จะเกิดเมื่อมีสมาธิ แต่ดึกแล้วฉันไม่รู้วิธีแก้ได้แต่หลับตาลงข่มความเจ็บปวด เฝ้าดูอาการปวดที่หัว โดยตั้งจิตแค่ที่หัวดูเพื่อให้เจ็บน้อยส่วนที่สุด เมื่อทำเช่นนี้ร่างกายส่วนอื่นจะไม่ปวด (เช่นหากตั้งจิตไปที่มือ มันจะปวดทั้งมือ+ปวดหัว) ฉันเห็นการเกิดดับของเม็ดเล็กๆ แต่ละเม็ด มันเต้นรัว ตุบ ตุบ อยู่เช่นนั้นหลายเม็ดพร้อมกัน แต่มันจะมีเม็ดที่แรงสุดแรงเจ็บสุด เจ็บพอที่จิตจะไปเฝ้าดูมันเพียงจุดเดียว เฝ้าดูวางอุเบกขาจนมันหายไป แล้วจุดใหม่ก็ทำหน้าที่ทรมาณฉันต่ออย่างต่อเนื่องจนถึงประมาณตีสาม ค่อยหลับลงได้ และมันน่าแปลกมากที่ตื่นเช้ามาฉันไม่มีอาการไข้ขึ้น หรือปวดใดๆ มันรู้สึกโล่งและก็หน่วงๆ เหมือนมีทั้งสุขและทุกข์ผสานกัน
และเมื่อมันหายฉันจึงไม่ได้ไปถามอาจารย์ถึงอาการเมื่อคืน เช้า-ค่ำ ปฏิบัติวิปัสสนาเช่นเดิมอย่างขยัน คืนวันที่ 8 ก็มึนๆก่อนนอนอยู่บ้างแต่ก็หลับลง
วันที่ 9 ฉันปฏิบัติวิปัสสนาเช่นเดิมอย่างขยัน เรื่องแปลกช่วงเช้าฉันสัมผัสได้ว่าเมื่อหายใจเข้า มันจะมีลมสายหนึ่ง คล้ายแท่งเข็มแต่ไม่คม มันเย็นกว่าลมหายใจเข้าอื่นๆ เมื่อเคลื่อนผ่านรูจมูกด้านไหนด้านนั้นก็จะโล่ง และก็กลับมาทึบอีก มันก็เคลื่อนผ่านเข้ามาทางจมูกแล้วไปบรรจุที่ช่องอกด้านบน เป็นเช่นนี้ทั้งวัน อาการแปลกๆที่ฉันไม่รู้จัก ก็ได้แต่วางอุเบกขาเพราะพูดกับใครไม่ได้
จนล่วงสู่ 3 ทุ่ม เวลาเข้านอน วันนี้ ฉันรู้สึกถึงแรงบีบทั้งร่าง มันมาอีกแล้ว การเต้นตุบๆ+หัวใจเต้นรัวอย่างน่ากลัว ความบ้าคลั่งในร่างกายทุกส่วน ไม่ว่าจะไม่สนใจหรือไม่สนใจมันก็ปวด
ฉันพยายามคิดถึงสิ่งอื่นเช่นเสียงนาฬิกา และหูก็เริ่มเต้น ตุบๆ +ใจเต้นรัว เพราะใช่ค่ะเราใช้หูฟังเสียง และเราฝึกมันทั้งวี่ทั้งวันผูกทุกส่วนในร่างกายไว้กับสมาธิจิต ฉันลืมตาตั้งใจมองเพดานตาก็เต้นตุบๆ หลับตาลงพยายามคิดไปเรื่องอื่นๆ คิดไปได้ไม่นานจิตก็เป็นสมาธิมาจับที่ลมหายใจเอง จนเริ่มปวดที่บริเวณจมูก
มันอธิบายได้ยาก ฉันอยากจะสรุปให้ฟังว่า ฉันหนีมันไม่พ้น จิต+กายผูกกันอย่างแน่นหนา มีเพียงการคิดจินตนาการไปทั่วๆ ไม่ให้เกิดสมาธิความเจ็บปวดค่อยจางลง แต่เมื่อเจ็บปวดฉันมักคิดอะไรไม่ออกพยายามนับเลข นับ 1-15 แล้วสมองก็เริ่มตื้อ พยายามบวกเลขตั้งโจทย์ยากๆก็ช่วยทุเลาได้ชั่วคราว ฉันจึงตัดสินใจหลับตาลงเฝ้ามองดูความเจ็บปวด ทนเฝ้ามองดูจนเห็นการเกิด ดับ ของจุดที่เจ็บปวด แต่มันก็ย้ายที่ไปเรื่อย เหมือนเกิด-ดับ แบบไม่มีวี่แววจะหยุด ไม่ว่าจะบอกให้ตัวเองวางอุเบกขาสักเท่าไหร่
หวังว่ามันจะจบลงเช่นคืนวันที่ 7 แต่ไม่เลยค่ะ เมื่อจะกำลังจะหลับลงได้ ขาฉันกระตุกอย่างแรงจนต้องตื่น ไม่ขาก็แขน ไม่ก็คล้ายมีเสียงกังวานเรียกชื่อ 1 ครั้งดัง ๆ จนตื่น
*** ความคิดเห็นที่ 3-1
เดิมเมื่อทำสมาธิดูลมหายใจ เข้า-ออก ไม่ก่อให้เกิดปัญหา
หลังจากวันที่ 4 บ่ายเริ่มวิธีดูร่างกายแทน แทบไม่กลับไปดูลมหายใจ
มันคือการตั้งเงื่อนไขร่างกายแล้วค่ะ 9 ชม./วัน x 6 วัน ที่ทำวิธีนี้
วิธีเพ่งดูเวทนาที่จมูกว่าเกิดอะไรบ้าง (ในตอนนั้น ไม่ใช่แค่จิตที่ค่อยเฝ้าดู ลูกตาด้านในก็กรอกไปด้วย มันคือการสั่งสมเงื่อนไขความเจ็บปวด) จนเมื่อสัมผัสถึงการเต้นตุบ ตุบ ได้เมื่อใดก็ตาม กระบวนการร่างกายที่ผิดปกติมันตามมา เหมือนคนอาการผวา เหมือนการสร้าง Condition การหลั่งน้ำลายของสุนัข ในการทดลองทางจิตวิทยา สมองเรามันตีความว่าต้องเจ็บ
ไม่แน่ใจว่าเราพูดเคลียร์ไหม แค่จะจับลมหายใจก็ทำแค่นั้นไม่ได้ มันบวกการรับรู้ที่จมูกแถมไปด้วย
***ความคิดเห็นที่ 3-3
ก็ตามวิธีที่คอร์สอนอบรมค่ะ ดูเวทนาที่ผิวหนัง ไล่ไป
ทุกส่วน ขึ้นลง ให้ดูว่ารู้สึกอะไร ดูวนซ้ำๆ เราไม่มีความรู้เรื่องการปฎิบัติมากมายนะคะ เพิ่งเคยรู้จักวิธีนี้ก็แค่ทำตามที่ถูกสอน จนเกิดปัญหาเลยอยากเเชร์เรื่องที่พบเจอกับตัวเองให้ฟัง (แค่จะแชร์ว่าร่างกายทุกคนไม่เหมาะกับวิธีนี้)
**ความคิดเห็นที่ 4
จนกระทั้งถึงเช้าวันที่ 10 วันสุดท้ายของหลักสูตร ร่างกายฉันแย่ถึงขีดสุด แต่ก็ทุเลาจากเมื่อคืน ปวดหัวเหลือแค่ตรงท้ายทอย หัวใจเต้นเร็วจนมือสั่น มีอาการไอเพราะรู้สึกถึงแรงดันจากด้านบนช่องอก (ตอนนี้ระลึกออกแล้วว่าแท่งเย็นๆที่ไหลมาบรรจุที่ช่องอกตลอดวันที่ 9 มันมาทำหน้าที่อะไร) กินไม่ได้ อ้วกทุกสิ่งออกมา เท้าน่าจะบวมร่วมด้วย (หลังจากจบหลักสูตร 4 วัน เพิ่งมาสังเกตเท้าเพราะมันมีตะคริวตลอดเวลา ถึงรู้ว่ามันบวมหน่อยๆ)
อาการนี้มาสืบค้นทีหลังคล้ายภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
ฉันลงชื่อเข้าพบอาจารย์ช่วงประมาณเที่ยง เล่าอาการให้ฟังตั้งแต่คืนวันที่ 7 อาจารย์บอกว่าฉันใช้ตาเคลื่อนไปเวลากำหนดจิต
“เธอไม่ไปแค่จิต เธอใช้ลูกตาไปด้วย ตาดำเธอเคลื่อนไปทุกที่ ” เพื่อความแน่ใจฉันเลยถามเพิ่ม โดยแจ้งไปว่า หนูเคยลองจ้องไปที่ต้นไม้ และกำหนดจิตไปที่ขาก็สัมผัสถึงขาได้ โดยตาก็ไม่เคลื่อนตามนะคะ
ท่านว่า "ตอนเธอลืมตาเธอมีสติ แต่พอหลับตาเธอไม่รู้ตัว"
และเนื่องจากอาการป่วยในแต่ละคืนไม่เหมือนกัน (มันเพิ่มระดับ) ฉันจึงอยากอธิบายอาการให้ชัดเจนขึ้น ถึงคืนวันที่ 9 ล่าสุด อาจารย์บอก “พอๆ จะยังไงก็เหมือนกัน คือเธอใช้ตา เธอต้องยอมรับ”
ฉันยอมรับได้ มันไม่ใช่สิ่งน่าอาย ฉันแค่อยากอธิบาย หากมันอันตรายฉันจะได้รับการรักษา แต่ท่านค่อนข้างไม่ชอบฟังแล้วค่ะ เริ่มแรกถูกตำหนิว่าไม่วางอุเบกขา ฉันจึงแจ้งไปว่า วางค่ำถึงเช้าก็ไม่หาย ท่านจึงเงียบไป ฉันแจ้งท่านว่า ตอนนี้หัวใจเต้นแรงมากจนมือสั่น คิดกำหนดหรือไม่คิดเช่น คิดถึงผ้าห่ม แล้วผ้าห่มมันวางที่เท้า คิดแค่นี้เท้าก็เต้นตุบๆ จนหัวใจเต้นรัวตาม
ท่านตอบมาว่า “ก็เธอไปผูกจิตมันไว้ทุกส่วนแล้วนิ แค่รู้สึกปวดตรงนี้ (ท่านเอามือจับให้ดูจมูกบนระหว่างตา) เธอควรจะลืมตาได้แล้ว เธอใช้ตากรอกไปมาแล้วยังไม่ยอมรับ ” อ่อเป็นเช่นนี้เอง ฉันไม่เคยรู้มาก่อน เลยตอบว่าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ฉันเคยรายงานอาจารย์ครั้งหนึ่งว่ามีเม็ดตุบ ตุบ ที่ด้านล่างคิ้ว ท่านก็เตือนให้ระวังว่าตากรอกไปด้วยหรือเปล่า ถ้ากรอกมันจะปวดที่กระบอกตา ฉันเลยบอกไม่รู้สึกเจ็บกระบอกตา ท่านเลยว่างั้นเธอก็ไม่ได้ใช้ตา แถมฉันยังไปทดสอบด้วยการลืมตาทำสมาธิแล้วก็สัมผัสถึงส่วนอื่นได้เช่นเดิม เหมือนกรรมมันบังตานะฉันมองข้ามเรื่องนี้ไป
แล้วฉันก็ยกมือไห้วลา
วันที่ 10 เปิดวาจาได้ ฉันแจ้งพี่ที่ทำหน้าที่บริการถึงอาการ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดนัก เพราะเหนื่อยมากๆ ขออนุญาตไม่เข้าร่วมช่วงเย็นที่นั่งสมาธิ แต่พี่บอกลองอดทนหน่อยมันเป็นชั่วโมงแผ่เมตตา เผื่อเราแผ่ให้เจ้ากรรมนายเวรอาจดีขึ้น ฉันเลยรับปากไป แล้วก็บอกเพื่อนข้างห้องด้วยเผื่ออาการไม่ดี
แล้วฉันก็เข้าร่วมชั่วโมงปฎิบัติต่อครั้งสุดท้าย โดยคิดว่าพรุ่งนี้เช้าก็จะได้กลับบ้านแล้ว นั่งสมาธิแผ่เมตตาจนจบ ได้โดยวิธีเคลื่อนไหวอิริยาบทเล็กๆ เช่น ขยับท่านั่ง เคาะนิ้ว เกาโน้นนี้ เปลี่ยนไปเรื่อยๆไม่ให้เกิดสมาธิได้ เวลานั่งในห้องปฎิบัติรวมฉันมีผ้าคลุม คนอื่นอาจไม่สังเกตเห็น มีเพียงเพื่อนข้างห้องที่ฉันบอกอาการไว้ที่สังเกตได้ว่าฉันเปลี่ยนท่านั่งบ่อย
นั่นแระค่ะ หลังจากนั้นก็ชั่วโมงสุดท้ายนั่งฟังวีดีโอ ซึ่งฉันไม่สามารถทนได้ ต้องวิ่งกลับห้องไปอ้วก และก็ถูกตามกลับมานั่งอีกค่ะ จนครั้งที่สองคือส่งสัญญาณไม่ไหว พี่ที่ทำหน้าที่บริการเขารับรู้แล้วไม่ตามอีก
และค่ำคืนวันที่สุดท้ายก็มาถึง จากการรู้สาเหตุของทุกข์ รู้ความทุกข์ วิเคราะห์หาทางแก้ไขทั้งวัน ในที่สุดฉันหาวิธีพ้นทางทุกข์นี้ได้โดยวิธีนี้ค่ะ
เมื่อปวดหัวหรือทุกข์ทรมาณทางกายอย่างหนัก การคิดปรุงแต่งเรื่องต่างๆย่อมทำได้ยากมาก ความคิดที่สามารถคงอยู่ได้ มันค่อนข้างเป็นอะไรที่เป็นแก่นแท้จริงๆ เช่นฉันคิดถึงหน้าพ่อและคำอวยพรตอนมาส่งฉันค่ะ น้ำตานี้ไหลเลย คิดถึงหมาตอนที่ลูบขนมัน ความคิดนี้ค่อยจะทุเลาอาการได้นานหน่อย
และวิธีที่จะหลับลงได้ล่ะทำยังไง ฉันค้นพ้นวิธีการจากการหาจุดในร่างกายที่อยู่ได้ ที่ไม่ได้ไปฝึกจับสติไว้ นั่นคือ ภายในช่องปาก
ฉันต้องหายใจเข้านิดเดียวผ่านจมูกไม่เกิน 2 วิ และปล่อยออกเบาๆทางปากนิดเดียว ท่าหายใจออกนี้พิเศษเมื่อจมูกหายใจเข้าลิ้นจะแตะเพดาน
เมื่อหายใจออกลิ้นจะตกมาด้านล่างปาก เหมือนการเดาะลิ้นเกิดเสียง เตาะ เตาะ ตลอดเวลา แต่นั้นคือท่าที่สบายที่สุด เมื่อทั้งร่างกายมันอนุญาตให้ฉันอยู่สบายแค่ท่านี้
ตอนนั้นสงสัยมากทำไมลิ้นขึ้นไปแตะเพดานปากตกลงมาและขึ้นไปแตะใหม่ได้เองอัตโนมัติ ภายหลังจึงรู้จากการสังเกตว่าเพราะกล้ามเนื้อรอบปากฉันบีบและคลายตัวมากกว่าปกติท่าเดาะลิ้นนั้นจึงเป็นอัตโนมัติได้ เพียงเผยอริมฝีปากไว้หน่อยๆ และทำซ้ำแค่ท่านี้เท่านั้นหัวใจจึงค่อยเต้นช้าลง เป็นท่าหายใจที่แปลกที่ไม่เคยทำมาก่อน
อ่อ กล้ามเนื้อเคยบีบจนปากยื่นมาข้างหน้าด้วยนะ ตอนนั้นลองนั่งสมาธิแล้วสัมผัสได้ถึงการบีบจึงทดสอบจับปากดูแล้วมันก็เป็นทางกายภาพจริงๆ
การหายใจออกจากปากเป็นการระบายแรงดันจากช่องอกได้เป็นอย่างดี ถ้าปล่อยให้ไอมันจะร้าวไปทั้งหัว แล้วก็เป็นวงจรหัวใจเต้นรัวตามมา ดังนั้นฉันต้องอยู่ในท่าหายใจนี้จนถึงเช้า ซึ่งโชคดีที่มันเป็นลักษณะอัตโนมัติได้ แค่ควบคุมมันครั้งแรกๆ
นี่ล่ะค่ะ กรรมของฉัน กรรมที่เกิดจากการกระทำที่ไม่รู้ และยังทำมันซ้ำๆ รวมวันละ 9-10 ชั่วโมง ยาวนาน 6 วัน
จนเกิดเป็นผลกรรมที่ต้องชดใช้
อ่อ แล้วก็การมีสมาธิมันหลั่งสารแห่งความสุขออกมาช่วยระงับความเจ็บปวดได้ดีจริงๆ ฉันถึงมีอาการแค่ก่อนนอนในช่วงแรกๆเท่านั้น ยกเว้นวันที่ 10 ที่ฉันไม่ทำสมาธิแล้วจึงมีอาการทั้งวัน
ฉันอยากฝากนะคะ ไม่ใช่ทุกคนจะมีอาการทางตาแบบนี้ แต่หากใครมีอาการปวดร้าวกระบอกตา ตุบๆที่ตรงคิ้ว หรือรู้สึกร่างกายไม่โอเค บางทีเราต้องสมดุลทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางความคิดเรื่องกรรมเก่าบันดาลให้ดี
และในการไปปฎิบัติธรรม พวกเรามักจะต้องฝากของมีค่าและอยู่ในที่ๆไม่คุ้นชิน การตัดสินใจทำอะไรก็อาจไม่สะดวกเหมือนการอยู่ที่บ้าน ฉันอยากฝากสถานปฏิบัติติธรรมให้ใส่ใจอาการแปลกๆของผู้ปฏิบัติมากขึ้น บางทีมันก็ร้ายแรง อย่างฉันเองก็เพิ่งกลับมากูเกิลดูถึงรู้ว่ามีอาการใกล้เคียงภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน จากความเจ็บปวด ตอนรายงานความผิดปกติให้อาจารย์ฟัง หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้มาถามไถ่ใดๆ ยาแก้ปวดก็ถูกห้ามใช้ ไม่สามารถขอเบิกได้ ตอนนั้น ฉันเหนื่อยทั้งกายและใจ ได้แต่อดทนเพื่อวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นอิสระ โชคดีที่หาวิธีประคองร่างกายให้ผ่านพ้นคืนสุดท้ายมาได้ค่ะ.
*
*** ความคิดเห็นที่ 5-1
ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ เราคิดว่าความไม่รู้ก็คือไม่รู้จริงๆ ตอนรายงานผลปฎิบัติ อ.ก็ว่านั้นคือเวทนาละเอียด ให้ดูต่อไป เพื่อสัมผัสอะไรได้มากขึ้น ตอนทำวิปัสสนาก็เข้าใจว่าตัวเองสบายๆ ไม่เพ่ง แต่การนั่งซ้ำวนๆ 9 ชั่วโมง + ความไม่รู้ตัวว่าลูกตาเคลื่อนเพราะวิธีปฎิบัติคือห้ามหยุดที่ใดที่หนึ่ง เคลื่อนไปเรื่อยๆ จิต,ความคิด เราเลยย้ายที่ไปเรื่อย
แสงสีขาวนั้นคือลูกตาเรามันพยายามมอง แสงเลยเกิดตามหลักการทำงานของระบบประสาทตาหรืออาจเพราะกำลังสมาธิ (เรื่องนี้ไม่ค่อยมีความรู้ขอวางอุเบกขาไว้ก่อนนะคะ)
*** ความคิดเห็นที่ 6-1
ตอนหาวิธีออกจากความเจ็บ เพิ่งรู้ตัวเลยค่ะ จิตกับกายดิฉันไม่แยกจากกัน อาจเพราะวิธีฝึกจิตที่เอาฐานไว้ที่กายแบบคอยเอาจิตตามดูกายด้วยมั้งคะ
ยังไงจะศึกษาเรื่องการฝึกแยกกายและจิตนะคะ ตอนเจ็บมากก็คิดอยากแยกจิตออกจากฐานกาย แต่พบว่าทำไม่ได้ ทำได้แค่คิดจินตนาการเรื่องราวไปเรื่อยๆ แต่สักพักเหมือนมันกลับมาที่ฐานกาย (เพราะไปเทรนสมาธิให้จับที่กายไว้) มือใหม่น่ะค่ะ หวังแค่ไปทำสมาธิให้สงบแค่นั้นเอง
*** ความคิดเห็นที่ 10-1
ศัพท์ไม่รู้จักเเทบทุกคำ ต้องไปกูเกิลเพิ่มก่อนค่ะ เพี้ยนขำหนักมาก
ผิดที่ร่างกายไม่เหมาะมั้งค่ะ ลูกตากรอกไปด้วยเพราะชินกับการใช้กายนี้ทำทุกอย่าง
จากหัว >ไปเท้า > ไปหลังด้วย ลูกตามันกรอกตามเพราะระบบสมองคงตีความว่าต้องเพ่งดู เธอกำลังดู
พอร่างกายป่วย หากปกติที่ไม่เคยฝึกผูกเงื่อนไขกันไว้ก็จะปวดแค่ที่จุดนั้น ไม่ลามไปที่อื่น
แต่ด้วยการฝึกดูกายอย่างละเอียด ซึ่งเป็นการสอนวิปัสสนา (เขาให้ดูกายจนสัมผัสถึงเวทนาละเอียด)
ดูจนพบจุดเชื่อมโยงนึง คือสัมผัสได้ถึงชีพจร ตุบ ตุบ ที่มีอยู่แล้วในร่างกาย
และนี้คือการเริ่มผูกเงื่อนไข
ระหว่างทำวิปัสสนาตามที่ถูกสอนมา ร่างกายและจิตใจเรา เริ่มมีพฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข ทางจิตวิทยาดังนี้ค่ะ
1. ตากรอก (สาเหตุความเจ็บปวด = สิ่งเร้าที่แท้จริง ) +
2. มีสมาธิ (ระหว่างวิปัสสนาก็มีสมาธิในกาย = สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง) +
3. เคลื่อนจิตแบบไล่ไปเรื่อยๆทั้งร่างไม่พัก หากเจอเวทนาละเอียดเคลื่อนต่อ หากไม่พบกลับมาดูใหม่ได้ 1-2-3 นาที ดูให้รู้อนิจจัง รู้แล้วปล่อยวาง (สัมผัสถึง ก้อนชีพจร ตุบ ตุบ = สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง)
แล้วเมื่อร่างกายปวดถึงขีดสุด สมองแค่เจอสิ่งเร้าที่ไม่แท้จริงสักข้อระบบประสาทอัตโนมัติก็พร้อมทำหน้าที่ค่ะ
หัวใจ ชีพจร กล้ามเนื้อ + กับผู้ปฎิบัติใหม่ที่ไม่เคยเจอความอันตรายแบบนี้มาก่อน ก็ได้แต่แก้ไขตามที่ถูกสอน ดูให้รู้แล้ววางอุเบกขา
ทั้งวี่ทั้งวันก็ดูแค่กาย จะคิดออกจากฐานกายในจุดนั้นก็ทำได้ยากมากๆๆ ลองทำทุกทางเท่าที่ปัญญาจะคิดออกแล้ว เหลือแค่อยากไป รพ. ขอยาสลบ เพี้ยนเบลอ
[Spoil] คลิกเพื่อซ่อนข้อความ
การฝึกแบบเคลื่อนไม่หยุดนี้ เมื่อมีสมาธิที่จุดอื่นเราแทบไม่รู้สึกปวดที่หัวแล้ว มีครั้งหนึ่งกำลังไล่เคลื่อนจากเท้าสู่หัว ใกล้หัวเท่านั้น รับรู้เลยว่าปวดมาก จนรีบเคลื่อนรีบหนีไปส่วนอื่นเลยค่ะ จากที่เขาสอน จิตใต้สำนึกสื่อสารกับกายผ่านเวทนา เวทนาคือกิเลสที่เราสะสมไว้ในทุกภพทุกชาติ มันจะลอยขึ้นมาสู่ร่างกายผ่านเวทนา เราจึงต้องสอนจิตโดยวางอุเบกขาให้ได้ จิตก็จะค่อยๆสะอาดขึ้นจากกิเลส [/spoil
* เสริม
(ก่อนสอนวิปัสสนา ให้ฝึกอานาปานสติ ก่อน 3 วันครึ่ง ตอนฝึกมีสมาธิมากค่ะ จนรู้ว่า ลมหายใจ 2 ข้างจมูก เข้ามากน้อยต่างกัน สลับไปมา โดยดูตามความจริง)
*
- รู้ผิด สอนปฏิบัติผิด ทำเอาถึงอยากกินยาสลบ เพราะมันปวดทรมานแทบหัวใจวายว่าซั่น