วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ฐานวางความคิดผู้ศึกษาพุทธศาสนา

กันไม่ให้สุดโต่งแง่ใดแง่หนึ่งจับภาพกว้างๆไว้ก่อน


สิ่งที่ควรเข้าใจก่อน

///พระพุทธศาสนานั้น เมื่อมองในทัศนะของคนสมัยใหม่ มักเกิดปัญหาขึ้นบ่อยๆ ว่าเป็นศาสนา (religion) หรือ เป็นปรัชญา (philosophy) หรือว่า เป็นเพียงวิธีครองชีวิตแบบหนึ่ง (a way of life) เมื่อปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นเหตุให้ต้องถกเถียงหรือแสดงเหตุผล ทำให้เรื่องยืดยาวออกไปอีกทั้งมติในเรื่องนี้ ก็แตกต่างไม่ลงเป็นแบบเดียวกัน ทำให้เป็นเรื่องฟั่นเฝือ ไม่มีที่สิ้นสุด ในที่นี้จะมุ่งแสดงแต่ในขอบเขตว่า พุทธธรรมสอนว่าอย่างไร มีเนื้อหาอย่างไรเท่านั้น ส่วนที่ว่า พุทธธรรมจะเป็นปรัชญาหรือไม่ ให้เป็นเรื่องของปรัชญาเองที่จะมีขอบเขต ครอบคลุมหรือสามารถตีความให้ครอบคลุมถึงพุทธธรรมได้หรือไม่ โดยที่ว่า พุทธธรรม ก็คือ พุทธธรรม และยังคงเป็นพุทธธรรมอยู่นั่นเอง มีข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวว่า หลักการ หรือ คำสอนใดก็ตาม ที่เป็นเพียงการคิดค้นหาเหตุผลในเรื่องความจริง เพื่อสนองความต้องการทางปัญญา โดยมิได้มุ่งหมาย และมิได้แสดงแนวทางสำหรับประพฤติปฏิบัติในชีวิตจริง อันนั้น ให้ถือว่า ไม่ใช่พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างที่ถือว่า เป็นคำสอนเดิมแท้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งในที่นี้ เรียกว่า พุทธธรรม

///การจะประมวลคำสอนแล้วสรุปลงว่า พุทธธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน และทรงมุ่งหมายแท้จริงเป็นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องยาก แม้จะยกข้อความในคัมภีร์ ซึ่งถือกันว่าเป็นพุทธพจน์มาอ้าง เพราะคำสอนในคัมภีร์มีปริมาณมากมาย มีแง่ ด้าน ระดับ ความลึกซึ้งต่างๆ กัน และขึ้นต่อการตีความของบุคคลโดยใช้สติปัญญาและความสุจริตใจ หรือไม่เพียงไรด้วย ในบางกรณี ผู้ถือความเห็นต่างกันสองฝ่าย อาจยกข้อความในคัมภีร์มาสนับสนุนความคิดเห็นของตนได้ด้วยกันทั้งคู่ การวินิจฉัยความจริง ขึ้นต่อความแม่นยำในการจับสาระสำคัญ และความกลมกลืนสอดคล้องแห่งหลักการ และหลักฐานที่แสดงทั้งหมดโดยหน่วยรวมเป็นข้อสำคัญ แม้กระนั้น เรื่องที่แสดงและหลักฐานต่างๆ ก็มักไม่กว้างขวางครอบคลุมพอ จึงหนีไม่พ้นจากอิทธิพลความเห็นและความเข้าใจพื้นฐานต่อพุทธธรรมของบุคคลผู้แสดงนั้น

ในเรื่องนี้ เห็นว่า ยังมีองค์ประกอบอีกอย่างหนึ่ง ที่ควรนำมาเป็นเครื่องวินิจฉัยด้วย คือความเป็นไปในพระชนม์ชีพ และพระปฏิปทาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา ผู้เป็นแหล่ง หรือที่มาของคำสอนเอง

พระพุทธจริยา รวมทั้งบรรดาพุทธกิจ คือ สิ่งที่พระองค์ผู้ทรงสอนได้กระทำ ในบางกรณีอาจแสดงพุทธประสงค์ที่แท้จริงได้ดีหรือชัดกว่าคำสอนที่ปรากฏในคัมภีร์ อย่างน้อยก็เป็นเครื่องประกอบความเข้าใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงหากจะมีผู้ติงว่า องค์ประกอบข้อนี้ ก็ได้จากคัมภีร์ต่างๆ เช่นเดียวกับคำสอน และขึ้นต่อการตีความได้เหมือนกัน แม้กระนั้น ก็ยังต้องยอมรับอยู่นั่นเองว่า เป็นเครื่องประกอบการพิจารณาที่มีประโยชน์มาก

จากหลักฐานต่างๆทางฝ่ายคัมภีร์และประวัติศาสตร์ พอจะวาดภาพเหตุการณ์ และสภาพสังคมครั้งพุทธกาล ได้คร่าวๆ ดังนี้
/// พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในชมพูทวีป เมื่อประมาณ 2,600 ปีล่วงแล้ว ทรงประสูติในวรรณะกษัตริย์ พระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองแคว้นศากยะซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของชมพูทวีป ติดเชิงเขาหิมาลัย ในฐานะโอรสกษัตริย์ และเป็นความหวังของราชตระกูล พระองค์จึงได้รับการปรนปรือด้วยโลกียะสุขต่างๆ อย่างเพียบพร้อม และได้ทรงเสวยความสุขอยู่เช่นนี้เป็นเวลานานถึง 29 ปี ทรงมีทั้งพระชายาและพระโอรส

///ครั้งนั้น ในทางการเมือง รัฐบางรัฐที่ปกครองแบบราชาธิปไตยกำลังเรืองอำนาจขึ้น และกำลังพยายามทำสงครามแผ่ขยายอำนาจและอาณาเขตออกไป รัฐหลายรัฐโดยเฉพาะที่ปกครองแบบสามัคคีธรรม (หรือแบบสาธารณรัฐ) กำลังเสื่อมอำนาจลงไปเรื่อยๆ บางรัฐ ก็ถูกปราบรวมเข้าในรัฐอื่นแล้ว บางรัฐ ที่ยังเข้มแข็งก็อยู่ในสภาพตึงเครียด สงครามอาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ แม้รัฐใหญ่ที่เรืองอำนาจ ก็มีการขัดแย้งรบพุ่งกันบ่อยๆ

/// ในทางเศรษฐกิจ การค้าขายกำลังขยายตัวกว้างขวางขึ้น เกิดมีคนประเภทหนึ่ง มีอิทธิพลมากขึ้นในสังคม คือ พวกเศรษฐี ซึ่งมีสิทธิมีเกียรติยศ และอิทธิพลมากขึ้นแม้ในราชสำนัก

/// ในทางสังคม คนแบ่งออกเป็น 4 วรรณะ ตามหลักคำสอนของพราหมณ์ มีสิทธิเกียรติฐานะทางสังคมและอาชีพการงาน แตกต่างกันไปตามวรรณะของตนๆ แม้นักประวัติศาสตร์ฝ่ายฮินดูจะว่า การถือวรรณะในยุคนั้น ยังไม่เคร่งครัดนัก แต่อย่างน้อยคนวรรณะศูทร ก็ไม่มีสิทธิที่จะฟัง หรือกล่าวความในพระเวทอันเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพราหมณ์ได้ ทั้งมีกำหนดโทษไว้อย่างรุนแรงถึงผ่าร่างกายเป็น 2 ซีกด้วย และ คนจัณฑาล หรือ พวกนอกวรรณะก็ไม่มีสิทธิได้รับการศึกษาเลย การกำหนดวรรณะก็ใช้ชาติกำเนิดเป็นเครื่องแบ่งแยก โดยเฉพาะพวกพราหมณ์ กำลังพยายามยกตนขึ้น ถือตนว่าเป็นวรรณะสูงสุด

///ส่วนในทางศาสนา พวกพราหมณ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นผู้รักษาศาสนาพราหมณ์สืบต่อกันมาก็ได้พัฒนาคำสอนในด้านลัทธิพิธีกรรมต่างๆ ให้ลึกลับซับซ้อนใหญ่โตโอ่อ่าขึ้นพร้อมกับที่ไร้เหตุผลลงโดยลำดับ การที่ทำดังนี้ มิใช่เพียงเพื่อวัตถุประสงค์ทางศาสนาเท่านั้น แต่มุ่งสนองความต้องการของผู้มีอำนาจที่จะแสดงเกียรติยศ ความยิ่งใหญ่ของตนประการหนึ่ง และด้วยมุ่งหวังผลประโยชน์ตอบแทน ที่จะได้จากผู้มีอำนาจเหล่านั้นอย่างหนึ่ง

พิธีกรรมเหล่านี้ ล้วนชักจูงให้คนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเองมากขึ้น เพราะหวังผลตอบแทนเป็นทรัพย์สมบัติและกามสุขต่างๆ พร้อมกันนี้ ก็ก่อความเดือดร้อนแก่คนชั้นต่ำ พวกทาสกรรมกรที่ต้องทำงานหนัก และการทารุณต่อสัตว์ด้วยการฆ่าบูชายัญครั้งละเป็นจำนวนมากๆ (ดูวาเสฏฐสูตร และ พราหมณ์ธัมมิกสูตร)

ในเวลาเดียวกันนี้ พราหมณ์จำนวนหนึ่งได้คิดว่า พิธีกรรมต่างๆ ไม่สามารถให้ตนประสบชีวิตนิรันดรได้ จึงได้เริ่มคิดเอาจริงเอาจังกับปัญหาเรื่องชีวิตนิรันดร และหนทางที่จะนำไปสู่ภาวะเช่นนั้น ถึงกับยอมปลีกตัวออกจากสังคมไปคิดค้นแสวงคำตอบอาศัยความวิเวกอยู่ในป่า

คำสอนของศาสนาพราหมณ์ในยุคนี้ ซึ่งเรียกว่า ยุคอุปนิษัท ก็มีความขัดแย้งกันเองมาก บางส่วนอธิบายเพิ่มเติมเรื่องพิธีกรรมต่างๆ บางส่วนกลับประณามพิธีกรรมเหล่านั้น และในเรื่องชีวิตนิรันดรก็มีความเห็นต่างๆกัน มีคำสอนเรื่องอาตมันแบบต่างๆ ที่ขัดกัน จนถึงขั้นสุดท้ายที่ว่า อาตมัน คือ พรหมัน ที่เป็นมาและแทรกซึมอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง มีภาวะที่อธิบายไม่ได้ อย่างที่เรียกว่า “เนติ เนติ” (ไม่ใช่นั่น ไม่ใช่นั่น) เป็นจุดหมายสูงสุดของการบำเพ็ญเพียรทางศาสนา และพยายามแสดงความหมายโต้ตอบ ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสภาพของภาวะเช่นนี้ พร้อมกับที่หวงแหนความรู้เหล่านี้ไว้ ในหมู่ของพวกตน

พร้อมกันนั้น นักบวชอีกพวกหนึ่ง ซึ่งเบื่อหน่ายต่อความไร้สาระแห่งชีวิตในโลกนี้ก็ได้ไปบำเพ็ญเพียรแบบต่างๆ ตามวิธีการของพวกตนๆ ด้วยหวังว่าจะได้พบชีวิตอมตะ หรือ ผลสำเร็จอันวิเศษอัศจรรย์ต่างๆ ที่ตนหวังบ้าง ก็บำเพ็ญตบะทรมานตนด้วยประการต่างๆ ตั้งต้นแต่อดอาหาร ไปจนถึงการทรมานร่างกายแบบแปลกๆ ที่คนธรรมดาคิดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้ บ้างก็บำเพ็ญสมาธิ ได้ฌานจนถึงรูปสมาบัติ อรูปสมาบัติ บ้างก็บำเพ็ญฌานจนเชียวชาญชำนาญถึงขั้นที่กล่าวว่าทำปาฏิหาริย์ได้ต่างๆ

อีกด้านหนึ่ง นักบวชประเภทที่เรียกว่าสมณะ อีกหลายหมู่หลายพวก ซึ่งได้สละเหย้าเรือนออกบวชแสวงหาจุดหมายชีวิตเช่นเดียวกัน ก็ได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปในบ้านเมืองต่างๆ ถกเถียงถามปัญหากันบ้าง ตั้งตนเป็นศาสดาแสดงทัศนะของตนต่างๆ กันหลายแบบหลายอย่าง

การเพียรแสวงหาจุดหมาย และเผยแพร่แสดงแข่งลัทธิกันนี้ ได้ดำเนินไปอย่างแข็งขันเข้มข้น จนปรากฏว่า เกิดมีลัทธิต่างๆขึ้นเป็นอันมาก เฉพาะที่เด่นๆ ซึ่งกล่าวถึงบ่อยในคัมภีร์พุทธศาสนา ถึง ๖ ลัทธิ

สภาพเช่นนี้ สรุปสั้นๆ คงได้ความว่า ยุคนั้น คนพวกหนึ่ง กำลังรุ่งเรืองขึ้นด้วยอำนาจวาสนา และกำลังเพลิดเพลินมัวเมา แสวงหาทรัพย์สมบัติ และ ความสุขทางวัตถุต่างๆ พร้อมกับที่คนหลายพวก กำลังมีฐานะ และ ความเป็นอยู่ด้อยลงๆ ทุกที ไม่ค่อยได้รับความเหลียวแล ส่วนคนอีกพวกหนึ่ง ก็ปลีกตัวออกไปเสียจากสังคมทีเดียว ไปมุ่งมั่นค้นหาความจริงในทางปรัชญา โดยมิได้ใส่ใจสภาพสังคมเช่นเดียวกัน

เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงได้รับความปรนปรือด้วยโลกียะสุขอยู่เป็นเวลานานถึง 29 ปี  และมิใช่เพียงปรนปรือเอาใจเท่านั้น ยังได้ทรงถูกปิดกั้นไม่ให้พบเห็น สภาพความเป็นอยู่ที่ระคนด้วยความทุกข์ของสามัญชนทั้งหลายด้วย แต่สภาพเช่นนี้ ไม่สามารถถูกปิดบังจากพระองค์ได้เรื่อยไป ปัญหาเรื่องความทุกข์ ความเดือดร้อนต่างๆ ของมนุษย์ อันรวมเด่นอยู่ที่ความแก่ เจ็บ และตาย เป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ต้องครุ่นคิดแก้ไข

ปัญหานี้ คิดสะท้อนออกไปในวงกว้าง ให้เห็นสภาพสังคม ที่คนพวกหนึ่งได้เปรียบกว่ ก็แสวงหาแต่โอกาสที่จะหาความสมบูรณ์พูนสุขใส่ตน แข่งขันแย่งชิง เบียดเบียนกันหมกมุ่นมัวเมาอยู่ในความสุขเหล่านั้น ไม่คิดถึงความทุกข์ยากเดือดร้อนของใคร ดำรงชีวิตอยู่อย่างทาสของวัตถุ ยามสุขก็ละเมอมัวเมาอยู่ในความคับแคบของจิตใจ ถึงคราวถูกความทุกข์ครอบงำ ก็ลุ่มหลงไร้สติเหี่ยวแห้งคับแค้นกับตัวเอง    แล้วก็แก่เจ็บตายไปอย่างไร้สาระ ฝ่ายคนที่เสียเปรียบ ไม่มีโอกาส ถูกบีบคั้นกดขี่อยู่อย่างคับแค้น แล้วก็แก่เจ็บตายไปโดยไร้ความหมาย

เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงมองเห็นสภาพเช่นนี้แล้วทรงเบื่อหน่ายในสภาพความเป็นอยู่ของพระองค์ มองเห็นความสุข ความปรนปรือเหล่านั้น เป็นของไร้สาระ ทรงคิดหาทางแก้ไข จะให้มีความสุขที่มั่นคงเป็นแก่นสาร ทรงคิดแก้ปัญหานี้ไม่ตก และสภาพความเป็นอยู่ของพระองค์ ท่ามกลางความเย้ายวน สับสนวุ่นวายเช่นนั้น ไม่อำนวยแก่การใช้ความคิดที่ได้ผล  ในที่สุด ทรงมองเห็นภาพพวกสมณะ ซึ่งเป็นผู้ได้ปลีกตัวจากสังคมไปค้นคว้าหาความจริงต่างๆโดยมีความเป็นอยู่ง่ายๆ ปราศจากกังวล และสะดวกในการแสวงหาความรู้และคิดหาเหตุผล สภาพความเป็นอยู่แบบนี้น่าจะช่วยพระองค์ให้แก้ปัญหานี้ได้ และบางทีสมณะพวกนั้น ที่ไปคิดค้นหาความจริงกันต่างๆ บางคนอาจมีอะไรบางอย่างที่พระองค์จะเรียนรู้ได้บ้าง

เมื่อถึงขั้นนี้ เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จออกบรรพชา อย่างพวกสมณะที่มีอยู่แล้วในสมัยนั้น  พระองค์ได้เสด็จไปศึกษาหาความรู้เท่าที่พวกนักบวชสมัยนั้นจะรู้และปฏิบัติกัน ทรงศึกษาทั้งวิธีการแบบโยคะ ทรงบำเพ็ญสมาธิจนได้ฌานสมาบัติ ถึงอรูปสมาบัติชั้นสูงสุด กับทั้งอิทธิปฏิหาริย์อย่างเชียวชาญ ทรงบำเพ็ญตบะทรมานพระองค์

ในที่สุดก็ทรงตัดสินได้ว่า วิธีการของพวกนักบวชเหล่านี้ทั้งหมด ไม่สามารถแก้ปัญหาดังที่พระองค์ทรงประสงค์ได้ เมื่อเทียบกับชีวิตของพระองค์ก่อนเสด็จออกบรรพชาแล้ว ก็นับว่าเป็นการดำรงชีวิตอย่างเอียงสุดทั้งสองฝ่าย  พระองค์ จึงทรงหันมาดำเนินการคิดค้นของพระองค์เอง ต่อมาจนในที่สุดได้ตรัสรู้ ธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบนี้ต่อมาเมื่อทรงนำไปแสดงให้ผู้อื่นฟัง ทรงเรียกว่า มัชเฌนธรรมหรือ หลักธรรมสายกลาง  และทรงเรียกข้อปฏิบัติอันเป็นระบบที่พระองค์ทรงบัญญัติขึ้นว่า มัชฌิมาปฏิปทา  หรือ ทางสายกลาง

จากความท่อนนี้ จะมองเห็นทัศนะตามแนวพุทธธรรมว่า การดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างลุ่มหลงหมกมุ่น ปล่อยตัวไปเป็นทาสตามกระแสกิเลส ก็ดี  การหลีกหนีออกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เกี่ยวข้องรับผิดชอบอย่างใดต่อสังคม อยู่อย่างทรมานตนก็ดี  นับว่า เป็นข้อปฏิบัติที่ผิด เอียงสุดด้วยกันทั้งสองอย่าง  ไม่สามารถให้มนุษย์ดำรงชีวิตอย่างมีความหมายแท้จริงได้

เมื่อตรัสรู้แล้วเช่นนี้ พระองค์ จึงเสด็จกลับคืนมาทรงเริ่มต้นงานสั่งสอนพุทธธรรมเพื่อประโยชน์แก่สังคมของชาวโลกอย่างหนักแน่นจริงจัง  และทรงดำเนินงานนี้จนตลอด 45 ปี แห่งพระชนม์ชีพระยะหลัง

แม้ไม่พิจารณาเหตุผลด้านอื่น มองเฉพาะในแง่สังคมอย่างเดียว ก็จะเห็นว่า พุทธกิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญ เพื่อประโยชน์สุขแก่สังคมสมัยนั้น จะสำเร็จผลดีที่สุด ก็ด้วยการทำงานในบรรพชิตเพศเท่านั้น  พระองค์ จึงได้ทรงชักจูงคนชั้นสูงจำนวนมาก ให้ละความมั่งมีศรีสุขออกบวช ศึกษาเข้าถึงธรรมของพระองค์แล้ว ร่วมทำงานอย่างเสียสละอุทิศตนเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ด้วยการจาริกไปเข้าถึงคนทุกชั้นวรรณะ และทุกถิ่นที่จะไปถึงได้ ทำให้บำเพ็ญประโยชน์ได้กว้างขวาง

อีกประการหนึ่ง คณะสงฆ์เองก็เป็นแหล่งแก้ปัญหาสังคมได้อย่างสำคัญ เช่น ในข้อว่า ทุกคนไม่ว่าจะเกิดในวรรณะใด เข้าบวชแล้วก็มีสิทธิเสมอกันทั้งสิ้น

ส่วนเศรษฐี คฤหบดี ผู้ยังไม่พร้อมที่จะเสียสละได้เต็มที่ ก็ให้คงครองเรือนอยู่เป็นอุบาสกอุบาสิกา คอยช่วยให้กำลังแก่คณะสงฆ์ในการบำเพ็ญกรณียกิจของท่าน และนำทรัพย์สมบัติของตนออกบำเพ็ญประโยชน์สงเคราะห์ประชาชนไปด้วยพร้อมกัน

การบำเพ็ญกรณียกิจ ทั้งของพระพุทธเจ้า และ ของพระสาวกมีวัตถุประสงค์และขอบเขตกว้างขวางเพียงใด จะเห็นได้จากพุทธพจน์ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ส่งสาวกออกประกาศพระศาสนาว่า

ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุขของชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย(วินย.4/32/39)

พุทธธรรมนั้นมีขอบเขตในทางสังคมที่จะให้ใช้ได้ และเป็นประโยชน์แก่บุคคลประเภทใดบ้างพึงเห็นได้จากพุทธพจน์ในปาสาทิกสูตร ซึ่งสรุปความได้ว่า

พรหมจรรย์    (คือพระศาสนา)    จะชื่อว่าสำเร็จผลแพร่หลายกว้างขวาง เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เป็นปึกแผ่น ถึงขั้นที่ว่าเทวดา และมนุษย์ประกาศไว้ดีแล้ว ต่อเมื่อมีองค์ประกอบต่อไปนี้ครบถ้วน คือ

1. องค์พระศาสดา เป็นเถระ รัตตัญญู ล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ

2. มีภิกษุสาวก ที่เป็นเถระ มีความรู้เชียวชาญ ได้รับการฝึกฝนอบรมอย่างดี แกล้วกล้า อาจหาญ บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ สามารถแสดงธรรมให้เห็นผลจริงจัง  กำราบปรัปวาท (ลัทธิที่ขัดแย้ง หรือวาทะฝ่ายตรงข้าม) ที่เกิดขึ้นให้สำเร็จเรียบร้อยโดยถูกต้องตามหลักธรรม และมีภิกษุสาวกชั้นกลาง และชั้นนวกะที่มีความสามารถเช่นเดียวกันนั้น

3. มีภิกษุณีสาวิกา ชั้นเถรี ชั้นปูนกลาง และชั้นนวกะ ที่มีความสามารถเช่นเดียวกันนั้น

4. มีอุบาสก ทั้งประเภทพรหมจารี และประเภทครองเรือนเสวยกามสุข ซึ่งมีความสามารถเช่นเดียวกันนั้น

5. มีอุบาสิกา ทั้งประเภทพรหมจารินี และประเภทครองเรือนเสวยกามสุข ซึ่งมีความสามารถเช่นเดียวกันนั้น   

เพียงแต่ขาดอุบาสิกาประเภทครองเรือนเสียอย่างเดียว พรหมจรรย์ ก็ยังไม่ชื่อว่าเจริญบริบูรณ์เป็นปึกแผ่นดี. (ดู ปาสารทิกสูตร ที.ปา. 11/104/135. พึงสังเกตความหมาย พรหมจรรย์”  ที่ครอบคลุมผู้ครองเรือนด้วย)

ความตอนนี้แสดงว่า พุทธธรรมเป็นคำสอนที่มุ่งสำหรับคนทุกประเภททั้งบรรพชิต และคฤหัสถ์คือ ครอบคลุมสังคมทั้งหมด.


วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

นรกของแต่ละศาสดา

       พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกถึงหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อสาลา   พวกพราหมณ์คหบดีชาวหมู่บ้านนี้  ได้ทราบกิตติศัพท์ของพระองค์     จึงพากันไปเฝ้า    แสดงอาการต่างๆ ในฐานะอาคันตุกะที่ยังไม่ได้นับถือกัน  มีคำสนทนา ดังนี้ 

       พระพุทธเจ้า:  คหบดีทั้งหลาย พวกท่านมีศาสดาท่านใดท่านหนึ่งที่ถูกใจ ซึ่งท่านทั้งหลายมีศรัทธาอย่างมีเหตุผล    (อาการวตีสัทธา)  อยู่บ้างหรือไม่ ?

        พราหมณ์คหบดี ไม่มีเลย  ท่านผู้เจริญ

        พระพุทธเจ้า:  เมื่อท่านทั้งหลาย   ยังไม่ได้ศาสดาที่ถูกใจ  ก็ควรจะถือปฏิบัติหลักการที่ไม่ผิดพลาดแน่นอน (อปัณณกธรรม)    ดังต่อไปนี้    ด้วยว่า   อปัณณกธรรมนี้   เมื่อถือปฏิบัติถูกถ้วน  จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน   หลักการที่ไม่ผิดพลาดแน่นอนนี้เป็นไฉน ?” 

       สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง   มีวาทะ   มีทิฐิว่า:    ทานที่ให้แล้วไม่มีผล   การบำเพ็ญทานไม่มีผล  การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วไม่มี   โลกนี้ไม่มี     ปรโลกไม่มี  มารดาไม่มี   บิดาไม่มี  ฯลฯ  ส่วนสมณพราหมณ์ อีกพวกหนึ่ง   มีวาทะ   มีทิฐิ   ที่เป็นข้าศึกโดยตรงกับสมณพราหมณ์พวกนั้นทีเดียวว่า:     ทานที่ให้แล้วมีผล  การบำเพ็ญทานมีผล   การบูชามีผล   ฯลฯ   ท่านทั้งหลายเห็นเป็นไฉน ?    สมณพราหมณ์เหล่านี้    มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันมิใช่หรือ ?"

     พราหมณ์คหบดี  ใช่อย่างนั้น

      พระพุทธเจ้า  สมณพราหมณ์ ๒ พวกนั้น   พวกที่มีทิฐิว่า   ทานที่ให้แล้วไม่มีผล   การบำเพ็ญทาน ไม่ มีผล ฯลฯ  สำหรับพวกนี้    เป็นอันหวังสิ่งต่อไปนี้ได้   คือ    พวกเขาจะละทิ้ง   กายสุจริต  วจีสุจริต มโนสุจริต  อันเป็นกุศลธรรมทั้ง ๓ อย่างเสีย   แล้วจะยึดถือประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ซึ่งเป็นอกุศลธรรมทั้ง ๓ อย่าง  ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุอะไร ?      ก็เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น    ย่อมไม่มองเห็นโทษ  ความทราม  ความเศร้าหมอง แห่งอกุศลธรรม และอานิสงส์ในเนกขัมมะ  อันเป็นคุณฝ่ายสะอาดผ่องแผ้วของกุศลธรรม

       ในเรื่องนั้น   คนที่เป็นวิญญูชน  ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า     “ถ้าปรโลกไม่มี   ท่านผู้นี้   เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ไป  ก็ทำตนให้สวัสดีได้    แต่ถ้าปรโลกมี   ท่านผู้นี้    เมื่อแตกกายทำลายขันธ์   ก็จะเข้าถึง อบาย   ทุคติ  วินิบาต  นรก   เอาเถอะ   ถึงว่าให้ปรโลกไม่มีจริงๆ   ให้คำของท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น  เป็นความจริงก็เถิด    ถึงกระนั้น   บุคคลผู้นี้   ก็ถูกวิญญูชนติเตียนได้ในปัจจุบันนี้เอง  ว่า  เป็นคนทุศีล  มีมิจฉาทิฐิ  เป็นนัตถิกวาท   ก็ถ้าปรโลกมีจริง   บุคคลผู้นี้ก็เป็นอันได้แต่ข้อเสียหายทั้งสองด้าน   คือ   ปัจจุบันก็ถูกวิญญูชนติเตียน   แตกกายทำลายขันธ์ไปแล้ว  ก็เข้าถึง อบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  อีกด้วย  ฯลฯ

   #ดังว่านรกแนวพุทธ ข้างล่างนรกแนวอิสลาม  วิธีสอนวิธีคิดของแต่ละศาสดา ทำยังไงตกนรก

การตัดสินใจทียากที่สุดของชีวิต "เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา"

กระทู้นี้ตั้งใจพิมพ์มาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นและที่มาที่ไป ไม่ได้มีเจตนาอื่นๆ ใดทั้งสิ้น เพราะยังเคารพนับถือเพื่อนพี่น้องมุสลิมอยู่

ผมเกิดในครอบครัวมุสลิมที่นครศรีธรรมราช พ่อเป็นคนสตูล แม่เป็นคนท่าศาลา พ่อเสียตอนผมอายุ 3 ขวบ ส่วนแม่ก็ไปทำงานที่บาห์เรน ผมจึงอยู่กับตายายมาตลอด และตอนเด็กๆ จึงถูกสอนและฝึกการละหมาด การท่องจำและศึกษาคัมภีร์กุรอานมาตลอด

ตอนอายุประมาณ 6 ย่าง 7 ตากับยายคิดจะส่งผมไปเรียนปอเนาะ แต่มีคนพุทธข้างบ้านแนะนำให้ผมไปเรียนโรงเรียนทั่วไป เพื่อหน้าที่การงานในอนาคต ดังนั้น ผมจึงได้เรียนโรงเรียนทั่วๆไป ตั้งแต่ ป.1 จนถึง ม.6 จึงคลุกคลีอยู่กับวัฒนธรรมบางอย่างของคนพุทธตลอด เช่น การไหว้พระ (ก่อนหน้านั้นไม่ได้ไหว้ เพราะตายายสอนว่าห้ามไหว้เดี๋ยวตกนรก) การไหว้ครู และอื่นๆ ส่วนเรื่องวิถีชีวิต เช่น การละหมาด ผมจะละหมาดที่โรงเรียน 2 ครั้งในช่วงเที่ยง และช่วงก่อนกลับบ้าน หากติดคาบก็จะขออนุญาตคุณครูไปละหมาด ส่วนเรื่องละหมาดวันศุกร์ ก็จะขอลาในตอนเที่ยงเพื่อไปละหมาดและฟังคุตบะฮ์ตลอด แต่ก็ต้องมาศึกษาหาความรู้กันเอาในภายหลังเพื่อให้การเรียนผ่านพ้นไปด้วยดี

หลังจากที่เข้าเรียนในมหาลัย ในฐานะมุสลิม จึงสนใจเหตุการณ์ที่ตะวันออกกลางด้วย จนกระทั่งวันหนึ่งพบข่าวว่า รัสเซียให้ความช่วยเหลือซีเรีย ทำการขับไล่ และโจมตีกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนออกไปจากซีเรีย ผมจึงเกิดความคิดว่า "ทำไมไม่ให้มุสลิมช่วยมุสลิม แต่กลับเป็นคนนอกศาสนาที่ช่วยมุสลิม และช่วยขับไล่พวกมุนาฟิกเสียเอง" ซึ่งสาเหตุที่คิดแบบนี้ เพราะในช่วงนั้น ได้ศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ของตะวันออกกลางที่กุรอานไม่ได้บอกไว้ ศึกษาความเป็นมาของทั้งศาสนาอิสลาม คริสต์ ยิว ที่นอกเหนือไปจากกุรอาน อ่านจากทั้งในหนังสือและในอินเทอร์เน็ต

จนพบว่า ศาสนาอิสลาม แท้จริงแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับศาสนาคริสต์ และยิว เพียงแต่มันเป็นการแยกความคิดแตกใหม่ และซับซ้อนมาก และมาในรูปแบบประมาณว่า ถ้ายิวต้องให้ทำสุหนัต คริสต์จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำ หรือต้องทำก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นนิกายไหน ส่วนอิสลามจะกลับมาบังคับ ว่า ต้องทำทุกนิกายทุกมัชฮับ ซึ่งทำให้รู้สึกสับสนว่าอันไหนผิดถูกจนไม่ได้คิดอีกไประยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้อ่านข่าวที่รัสเซียให้ความช่วยเหลือซีเรีย ทำให้ย้อนคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ อิสลามซึ่งเคยชนะ และทำให้ผู้คนในหลายเผ่าในดินแดนอาหรับเลื่อมใสศรัทธา ทั้งยังชนะพวกครูเสดได้

แต่ทำไมต้องแยกเป็นซุนนีและชีอะฮ์ ทำไมต้องเกิดความขัดแย้งกันเองตลอด ทำไมจึงต้องเกิดกลุ่มซาลาฟี (หรือที่หลายๆ คนรู้จักในชื่อ วาฮะบีย์) ทำไมปาเลสไตน์จึงต้องหายไป และกลายเป็นอิสราเอลแทน นั้นทำให้เริ่มสงสัยว่าบททดสอบของอัลลอฮ์นั้นจะยาวนาน และโหดร้ายไปอีกนานสักแค่ไหน

จึงย้อนกลับมาดูทางคริสต์ ซึ่งไปรุ่งเรืองในแผ่นดินยุโรป พบว่าคริสต์หลังยุคอาณาจักรโรมันนั้นแทบจะเป็นยุคมืด ศาสนจักรครอบงำผู้คน ชักชวนผู้คนรบราฆ่าฟันกับกลุ่มมุสลิม บ้างก็ใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่ขัดแย้งกับศาสนจักร ผ่านไปหลายศตวรรษ กลายเป็นว่าเมื่อถึงยุคเรเนซองส์ ความขัดแย้งทางศาสนาแทบจะหายไป วิทยาศาสตร์ ปรัชญา วิทยการที่เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มขัดแย้งกันน้อยลง ศาสนาก็ห่างจากชีวิตผู้คนในยุโรปมากขึ้น ในขณะที่วิทยาศาสตร์ที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอาหรับก็ค่อยๆ หายไป แถมบางครั้งยังถูกมองว่าขัดแย้งกับศาสนาอีก จนกลายเป็นว่าปัจจุบัน ยุโรปในตอนนี้ เริ่มแยกจากศาสนาได้สำเร็จ และสามารถพัฒนาตัวเองเป็นผู้นำโลกได้

ส่วนโลกอาหรับนั้นแทบไปไม่ถึงไหน โดยเฉพาะตั้งแต่หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมานั้น ชาติอาหรับก็เกิดความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด

ในช่วงแรกนั้น ด้วยความที่ยังเกรงกลัวสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าอยู่ จึงคิดจะไปนับถือศาสนาคริสต์ แต่ก็พักความคิดชั่วระยะหนึ่ง เพราะต้องการเลือกศาสนาของตัวเองจริงๆ ตัวเองเลือกที่จะไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็ได้ แต่ตัวเองไม่เลือก เพราะเข้าใจว่า ชีวิตทางโลกนั้น ควรมีชีวิตทางธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าด้วย จึงจะใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขโดยแท้จริง

(เนื่องจากส่วนตัวคิดว่า กลุ่มคนไม่มีศาสนานั้น ใช้ชีวิตโดยไม่คิดอะไรมากมาย และทำๆ ไปตามที่ใจต้องการ และมีปรัชญาชีวิตที่เน้นจากเรื่องราวทางโลกเกือบล้วนๆ ซึ่งคงไม่ใช่แนวทางของตัวเองที่ต้องการแสวงหาทางสว่าง และความสงบสุขในจิตใจอยู่ตลอดเวลา)

จึงตัดสินใจศึกษาพระพุทธศาสนา จนค้นพบสัจธรรมว่า การจะเป็นคนที่ดีได้นั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อในพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องต้องเชื่อคำสอน และทำตามคัมภีร์ ขอเพียงแค่ประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับความสงบสุข

พระพุทธศาสนาเปิดโลกที่ผมไม่เคยเห็นไม่เคยเจอมาก่อน เป็นศาสนาที่สอนให้คนพิสูจน์มากกว่าบังคับเชื่อ เป็นศาสนาที่สอนให้คนเน้นจิตใจที่บริสุทธิ์มากกว่าการห้ามกิน หรือ ห้ามทำสิ่งนั้นนี้ที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เป็นศาสนาที่ไม่บังคับการเข้าศาสนสถาน

หลังจากที่ตัวเองได้ศึกษาจนถี่ถ้วนแล้ว จึงตัดสินใจบอกกับตัวเองว่า เราจะไม่ใช่มุสลิมแล้ว แต่เราจะเป็นชาวพุทธ แต่ในตอนนั้น ยังไม่คิดทำอะไรมาก จึงคิดจะไปบอกแม่ ปู่ย่าตายาย ที่เป็นมุสลิม แน่นอนว่า ทุกคนรู้สึกตกใจ และไม่อยากให้ผมเลิกศรัทธาต่ออัลลอฮ์ เพราะกลัวว่าเมื่อถึงวันกียะมะฮ์แล้วผมจะต้องตกไฟนรกไปตลอดกาล (ตามความเชื่อของอิสลาม เมื่อเสียชีวิตแล้ว จะต้องไปอยู่ในโลกแห่งการรอคอย ที่ดวงวิญญาณจะรออยู่จนถึงวันพิพากษา แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง อัลลอฮ์จะพิจารณาตัดสินความดีชั่วที่คนผู้นั้นเคยทำไว้เมื่อยังอยู่ในโลกดุนยา หรือโลกมนุษย์เราปัจจุบัน ผู้ที่ทำความดีไว้มาก จะได้ขึ้นสวรรค์ และพำนักอยู่ในสวรรค์ถาวร ส่วนผู้ที่ทำความชั่ว จะต้องตกไฟนรกไปชั่วนิรันดร ซึ่งนอกจากอิสลามแล้วคริสต์และยิวก็เชื่อความเชื่อนี้ด้วยเช่นกัน)

ผมบอกกับทุกคนว่า อินชาอัลลอฮ์ หมายถึงว่า ถ้าอัลลอฮ์ประสงค์ และสำแดงประจักษ์ให้ได้ตระหนักถึงพระองค์ ผมก็จะพร้อมที่จะไปรับอิสลามอีกครั้ง และเชื่อมั่นว่าหากอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเปี่ยมเมตตา ก็จะทรงมีเมตตาอยู่เสมอตราบที่มีลมหายใจอยู่

ตั้งแต่ที่พูดไปในตอนนั้น ปู่ย่าก็ไม่ได้ติดต่อหาผมอีก (ปกติก็ไม่ค่อยติดต่อกันอยู่แล้ว เพราะไม่ค่อยผูกพันอะไรมาก) ส่วนแม่ ตายาย ได้แต่หวังว่าผมจะกลับไปรับอิสลามอีกครั้ง แต่ความจริงก็คือ ผมไม่มีความคิดนั้นเหลือแล้ว ผมเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา และลึกซึ้งกับธรรมะที่ได้ศึกษาจนยากที่จะกลับไปเป็นมุสลิม

สิ่งที่บอกมาทั้งหมด ไม่ได้ต้องการให้มุสลิมที่ยังศรัทธาในอัลลอฮ์ ต้องหันมานับถือพุทธกันอย่างไร้เหตุผล เพราะเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคร่งครัดมาตั้งแต่เกิด

เคยมีกรณีคนที่มานับถือพุทธแต่ก็กลับไปนับถืออิสลามอีก เพราะเกรงกลัววันพิพากษา กลัวว่าตัวเองจะต้องตกไฟนรก ซึ่งส่วนตัวมองว่า ตัวเองทำแต่ความดี จิตใจบริสุทธิ์ ก็มากพอแล้วที่พระเจ้าจะเมตตา และยังเชื่อมั่นในพระเมตตาเสมอว่าจะไม่ทำแบบนั้น หากประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ



 


วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

บทเรียนจากแต่งงานข้ามศาสนา





เจ้าตัวเล่าเอง 

ยาวหน่อย ไตเติ้ลเค้า

         รีวิว เปลี่ยนศาสนา+แต่งงานต่างศาสนา] สาวเอย จงหนีไปปปปปปปปปปปปปปปปป อย่าหาทำแบบเราค่ะ

       **รีวิวนี้เป็นรีวิวส่วนบุคคล ผู้เขียนใช้ประสบการณ์จริง เปย์จริง เจ็บตัวจริง และหลาบจริง ใครตะขิดตะขวงใจควรผ่านค่ะ**

      1. ต่อให้คุณแต่งกายเรียบร้อยตามหลักศาสนา ปฏิบัติตามหลักศาสนา คุณก็จะเจอกับคำที่ว่า “เธอไม่ใช่ศาสนิก อ. แท้” 

     2. พี่น้องในศาสนิกจะพยายามสั่งสอนคุณ ตักเตือนคุณให้ทำแบบนั้นแบบนี้ เหมือนตุ๊กตา แต่ไม่สามารถที่จะตักเตือนคนในครอบครัวตัวเองได้ เช่น อดีตสามีเรา   มีพี่สาว  และหลานสาวที่แต่งกายไม่ตรงตามหลักศาสนา พี่ชายที่ไม่ค่อย pray ทุกคนจะปล่อยผ่าน    แต่ถ้าเป็นผู้เปลี่ยนศาสนาเช่นเราโดนจับหัวโขกพื้นค่ะ

     3. องค์กรศาสนา อ. ไม่ใส่ใจและไม่หาทางช่วยเหลือผู้เปลี่ยนศาสนา อย่าหวัง   ยิ่งเป็นองค์กรศาสนา อ. ในจังหวัดใต๊ใต้ แค่คุณไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเค้า    คุณก็ไม่ใช่พี่น้องเค้า และเมื่อคุณมีปัญหากับคู่สมรสคุณ  คุณจะถูกหลอกว่าคุณไม่รู้ศาสนาไงหล่ะ 

    4. สินสอดไม่ใช่ 127 บาทตามที่เค้าหลอกลวงไว้  ฝ่ายหญิงสามารถเรียกเท่าไหร่ก็ได้  และสินสอดเป็นสิ่งสำคัญในการสมรส ไม่มีสินสอดการสมรสนั้นไม่สมบูรณ์

    5. สังคมพี่น้องศาสนา อ. ค่อนข้าง toxic ด่ากัน นินทากัน เดียวโทษคนนั้น เดียวโทษคนนี้ โทษปีศาจแต่ไม่โทษตัว เมื่อคุณเป็นผู้เปลี่ยนศาสนาแล้วแต่งงานกับศาสนิก อ. เค้าจะพยายามให้คุณออกห่างจากครอบครัวเดิม

    6. ศาสนา อ. บอกว่าชาวยิว racist แต่พวกเค้าก็ไม่แพ้กัน

    7. ผู้เปลี่ยนศาสนาแต่งงานกับศาสนิก อ.แท้ แรกๆอาจราบรื่น แต่ภายหลังพวกเขาสามารถหย่าคุณเพียงเพราะแค่พ่อแม่คุณทานเนื้อสุกรได้

   8. ผู้ชายศาสนา อ. สามารถมีเมียได้ถึง 4 คนโดยไม่ต้องขออนุญาต

   9. ผู้ชายเป็นใหญ่ เรื่องในบ้านห้ามพูดให้คนนอกฟัง พูดแล้วเป็นบาป เรื่องทำร้ายร่างกายระหว่างคู่สมรสผู้เปลี่ยนศาสนาหญิงกับศาสนิก อ. แท้ จึงกลายเป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับไปโดยปริยาย ไม่สามารถบอกใครได้

   10. ศาสนิก อ. มอง ลูกสาวของคนต่างศาสนา และลูกสาวของศาสนิกเดียวกัน คุณค่าไม่เท่ากัน ปฏิบัติไม่เท่ากัน

   11. ความรักเป็นสิ่งสวยงาม รักตัวเองดีที่สุดค่ะ ไม่สนับสนุนให้แต่งงานข้ามศาสนากับศาสนิก อ. ค่ะ

ข้างล่างนี้เป็นนิยายค่ะ  


10 กว่าปีที่แล้ว เราเป็นสาวใต้หน้าหมวยที่หลงใหลในศาสนา อ. อย่างมาก เพราะคำสอนที่รู้สึกคลิกและตัวอย่างที่เป็น best practice จากคนใกล้ตัวเราคือเพื่อนสาวคนสนิทของเรา เธอเป็นศาสนิกศาสนา อ. ที่เราประทับใจที่สุดในชีวิต ถึงเวลา pray ปุ๊บก็ pray ปั๊บ บทสนทนาของเรามีเรื่องสนุกสนานแต่เราไม่เคยพูดถึงบุคคลที่ 3 ซึ่งเราชอบเธอตรงนี้ เธอเป็นคนที่พยายามปรับปรุงตัวอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่าอะไรที่เธอทำพลาดไปถึงเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆเธอจะรีบขออภัยโทษจาก GOD ของเธอทันที เธอไม่เคยยัดเยียดอะไรให้เรา แต่ตลอดเวลาที่เราใช้ชีวิตร่วมกันกับเธอในมหาวิทยาลัยทำให้เราซึมซับและอยากเป็นอย่างเธอ อยากหาทางสว่างด้วยตัวเอง (ทางสว่างงงงง นิยายมาก)

เรากับเธอต้องห่างไกลกันเพราะเราซิ่ว (เนื่องจากเราไม่ฉลาด เรียนต่อต้องโดนไทร์แน่) ต้องมาเรียน ม.เปิดแถวๆย่านบางกะปิ ความผิดหวังเรื่องเรียน ครอบครัว ทะเลาะกับที่บ้านหนักมากมาย ทำให้เราหาที่พึ่งมากขึ้น จนจุดๆ นึงเราขอรับศาสนา อ. ทางโทรศัพท์กับพี่ชายท่านนึงซึ่งเราพบในเว็บบอร์ดศาสนา พี่ชายท่านนั้น แนะนำให้ภรรยาของเค้าเป็นไกด์สอนเราทำศาสนกิจ ครอบครัวของพี่ๆ เค้าน่ารักกับเรามากค่ะ แต่เราต้องขาดการติดต่อไปเพราะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ในศาสนา อ. จะเรียกคนที่เข้ารับศาสนาใหม่ว่า “มุมุ” ค่ะ ตอนแรกของการเป็นมุมุของเรายึดตามหนังสือศาสนาเป๊ะๆ เช่น ศาสดาท่านเลียจาน เราก็เลียจานตรงโรงอาหารค่ะ คนมองแต่เราไม่อาย เพราะเราเชื่อว่าเราทำแล้วได้บุญ ทำถูกอย่างที่หนังสือศาสนาบอก

ต่อมาเราเริ่มเข้าชมรมศาสนาของมหาลัย ที่นั่นทำให้เราได้รู้จักพี่ A ซึ่งเป็นเคร่งศาสนา สุภาพ เรียบร้อย เรียนกำลังจะจบ ในตอนนั้นเราคิดว่าพี่เค้าไม่ชอบผู้หญิง จึงไม่ระวังตัวในการอยู่กับพี่เค้า พี่ A สอนเราเรื่องศาสนาเยอะแยะค่ะ สอนเรา pray ซึ่งก่อนหน้านี้เราทำผิดทำถูก สอนการใช้ชีวิตให้ตรงตามหลักศาสนา การเลือกทานอาหาร การแต่งกาย เรามีโอกาสได้รู้จักสมาชิกส่วนหนึ่งของครอบครัวพี่ A ทำให้เราเชื่อใจไว้ใจพี่ A มากขึ้น มีเราอยู่ที่ไหน ก็จะมีพี่ A อยู่ที่นั่นในมหาลัย

จนวันนึงพี่ A ชวนเราไปกินทับทิมกรอบที่แถวบ้านพักของเค้า ตอนชวนยังไม่มืดแต่การจราจรแถวทุ่งบางกะปิยุคนั้นสาหัสสากรรจ์มาก ไปถึงร้านทับทิมกรอบเกือบๆค่ำ จะสั่งทับทิมกรอบกินเลยแต่พี่ A ห้ามไว้บอกสั่งไปกินที่พักดีกว่า เราก็โอเคจะได้ซื้อไปฝากสมาชิกครอบครัวพี่ A ด้วย ไปถึงที่พักพี่ A กลับไม่มีสมาชิกครอบครัวพี่ A อยู่เลยสักคน เราก็ไม่เอะใจอะไร กินทับทิมกรอบเสร็จเราขอตัวจะกลับ แต่พี่ A ห้ามไว้ว่าไม่มีรถแล้วมีแต่แท็กซี่นะ พักที่นี่เถอะ ตอนนั้นเป็นนักศึกษาจนๆเงินนั่งเท็กซี่ไม่มี ตกลงพักที่พักพี่ A แบบเอ๋อๆ ซึ่งพี่ A อาจแปลความหมายผิดว่าอ่อยๆ (เราไว้ใจพี่ A เพราะพี่เค้าดูเป็นคนเคร่งศาสนา บุคลิกไม่น่าจะชอบผู้หญิง แถมเราก็มีประจำเดือนอีก ไม่น่าจะทำอะไรเราได้)

คืนนั้น เราลุกมาเข้าห้องน้ำ แล้วกลับไปนอนต่อ แล้วจู่ๆ พี่ A ก็เดินมาที่เตียงและคลุกวงในเราค่ะ เป็นครั้งแรกที่เรารู้ว่าพี่ A ถึงจะตัวเล็กแต่แรงเยอะมาก พอเช้าขึ้นมาพี่ A เบลมเราว่าเป็นเพราะเราลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำเพื่อต้องการอ่อยพี่ A การที่พี่ A มาคลุกวงในเราเป็นความผิดของเราและสิ่งที่เรียกว่า “ไชยาชิชา” [ในศาสนา อ. เมื่อมนุษย์ทำผิดอะไรจะกล่าวว่าเป็นความผิดของ “ไชยาชิชา” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราค่อนข้างเหวอๆนะ แบบว่าเธอเป็นคนคลุกวงในชั้นนะ ไปโทษสิ่งอื่นหรออออออ] < พี่ A ดูหัวเสียมาก เพราะสิ่งที่พี่ A ทำกับเราเหมือนกับที่เพื่อนชื่อพี่ B ทำกับน้องมุมุคนนึง แบบเดียวกันเลยค่ะ หลอกไปที่บ้านที่มีคนอยู่เยอะๆ แล้วสมาชิกในบ้านก็หายไปทีละคนๆ จนได้คลุกวงใน มุมุในมหาลัยต่างๆ โดนแบบนี้ไม่น้อยค่ะ> พี่ A ขู่เราว่าห้ามบอกใคร แต่ขอรับผิดชอบเราเป็นแฟน แต่ห้ามเราบอกใคร และแสดงตัวกับใครว่าเป็นแฟนกัน เนื่องจากในศาสนา อ. แฟนเป็นเรื่องบาป การคลุกวงในก่อนแต่งงานนี่ก็บาปแต่ทำไมพี่ยังทำ


พอเราเริ่มห่าง พี่ A ก็ปึงปังกับเรา กลายเป็นพี่ A พยายามแสดงตัวว่าเป็นแฟนกับเราเสียอีก และเราก็ได้คลุกวงในกันหลายครั้ง ซึ่งเราก็สงสัยว่า รู้ว่ามันบาปพี่ยังทำทำไมอีก แล้วก็โทษไชยาชิชาตามเดิม เรามีโอกาสไปเยี่ยมบ้านพี่ A ที่จังหวัดปัดยายโน้น ได้เจอคุณแม่พี่ A ท่านเป็นห่วงในความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ จึงเสนอให้แต่งงานกัน ที่จังหวัดปัดยายโน้น ก่อนแต่งงานต้องเข้าฝึกอบรมก่อนค่ะแต่พี่ A ไปขอให้แต่ง และมาอบรมในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเราก็ไม่รู้ไปนั่งให้เมื่อยทำไม เนื่องจากเค้าอบรมกับเป็นภาษา ม. ค่ะ เราก็นั่งบื้อค่ะ ยังไม่มีสมาร์ทโฟนในยุคนั้น นั่งเกร็งจนทรมาน

ด้วยความที่เป็นมุมุจึงถูกสอนว่า การแต่งงานคือการแก้ปัญหาความผิด การทำให้การแต่งงานง่ายที่สุดจึงเป็นเรื่องที่ดีที่ควรสรรเสริญ ศาสนา อ. มีข้อบังคับในการแต่งงานคือสินสอด ซึ่งเราไม่เรียกจากพี่ A ไม่รู้จะเรียกยังไง ไม่เอาก็ได้ค่ะ แต่ผู้ที่ทำการสมรสให้เราที่ศูนย์ศาสนา อ. ประจำจังหวัดปัดยายโน้น ท่านบอกว่า สินสอดเป็นสิ่งจำเป็น ไม่เรียกไม่ได้ บางที่เข้าใจผิดว่าเรียก 127 บาทได้ ซึ่งไม่ใช่ คนแถวปัดยายโน้นไม่เรียกกัน 127 บาทค่ะ เรียกเท่าที่ฝ่ายหญิงพอใจ ผู้ที่ทำการสมรสให้เราจึงตั้งค่าตัว เอ่อ ค่าสินสอดเราที่ 40,000 บาท แต่ตอนนั้นพี่ A ไม่มี จึงเขียนสลักไว้บนใบสมรสทางศาสนาว่า ฝ่ายชายต้องจ่ายค่าสินสอด 40,000 บาท ภายใน 1 ปี ผู้ทำการสมรสย้ำกับเราว่าถ้าพี่ A ไม่จ่ายให้บอกท่านได้เลย ซึ่งขอโทษค่ะท่านคะ โทรไปทีไร สายไม่ว่าง ก็โดนเมินเรื่องปัญหาแบบนี้ตลอดค่ะ แล้วจะให้ความมั่นใจกับเราเพื่อออออออ (เราแต่งงานตามหลักศาสนากับพี่ A เมื่อประมาณปีพ.ศ.2553)

เราใช้ชีวิตสามีภรรยาตามหลักศาสนากับพี่ อ. แต่พี่ A ก็ยังไม่ให้เราบอกใคร เพื่อพี่ A จะได้ไปเดินไหล่ชนกับเพื่อนสนิทผู้หญิงท่านนึง ซึ่งต่อมาผู้หญิงท่านนั้นก็ทราบจากปากคนอื่นว่าเราแต่งงานกันแล้ว เหมือนเธอก็เจ็บปวดไม่รู้ว่าพี่ A ไปให้ความหวังไว้หรือเปล่า

สักพักไม่นานก็เจอสิ่งที่เรียกว่า “ก่องข้าวน้อยฆ่าเมีย” พี่ A กลับจากทำงาน แล้วเราเตรียมอาหารให้พี่ A ไม่ทัน โดนปัดถ้วยน้ำบูดูสาดห้องพัก และจับหัวเราโขกกับผนัง ป๊อกๆ และแล้วพี่ A ก็โทษไชยาชิชาอีกค่ะ ทำงานได้ไม่เท่าไหร่ พี่ A ต้องออกด้วยเหตุเพราะห้องน้ำไม่มีสายฉีดก้น และขอเราว่า 1 ปีนี้ จะขอเรียนเพื่อเป็นทนายความก่อน ไม่ทำงานนะจ๊ะ เราก็โอเคค่ะ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยค่ะ หนูเลี้ยงพี่ก็ได้ค่ะ แต่เอ๊ะในหนังสือศาสนาที่เราเรียนมา สามีต้องหาเลี้ยงภรรยานี่ ผ่านไปหนึ่งปีกับภาระหัวหน้าครอบครัวของเรา พี่ A สอบทนายไม่ผ่านค่ะ เราจึงเอ่ยปากบอกพี่ A ว่า หางานทำเถอะค่ะพี่ หนูจะไม่ไหวแล้ว สมัครสอบงานให้ จ่ายค่าสมัครงานให้ บังคับให้ไปสอบ ไปสัมภาษณ์ ไซโคกันอยู่นานพี่ A จึงหางานทำ สินสอดที่สัญญาว่าจะได้ใน 1 ปี จึงไม่ได้ค่ะ

พี่ A ทำงานยังไม่ผ่านโปร จู่ๆเราก็ท้องค่ะ เราบอกพี่ A แต่พี่ A ตอบเรากลับมาว่า “ท้องกับใคร” พี่คะ พี่ขังหนูอยู่ในห้อง ใส่กางเกงขายาวพี่ยังจะตีหนูเลย ยิ่งใส่ยีนส์พี่เกือบฆ่าหนู หนูไม่เคยไปไหนโดยไม่บอกพี่ ก็ช่างถามเนาะ ช่วงนั้นเป็นช่วงเดือนพิเศษของศาสนา อ. ด้วยค่ะ เราต้องงดอาหารตอนกลางวัน แล้วไป pray พร้อมพี่ A ตอนกลางคืน เรื่องที่เราท้องเหมือนพี่ A จะทำลืมๆไม่สน เราเดินออกจากบ้านแต่ละวันอ่อนละโหยโรยแรง เหมือนเมนส์จะมาทั้งเดือน จนถึงวันๆนึงที่เราอาเจียนอยู่ในห้อง และไม่สามารถเดินตัวตรงได้ค่ะ พี่ A ก็ไม่พาเราไปหาหมอถึง 2-3 วันแม้ว่าหน้าเราจะซีดแค่ไหน จนพี่สาวพี่ A ต้องเป็นคนพาเราไปหาหมอเองค่ะ สิ่งที่สร้างความตกใจให้กับทุกคนในแผนกทะเบียนประวัติตอนนั้น คือเราปั๊มความดันไม่ขึ้นตอนนั้นเราไม่เข้าใจว่าอะไร แต่พยาบาลทุกท่านตกใจกระวีกระวาดให้เราพบหมอด่วน คุณหมอบอกกับเราว่า เราท้องนอกมดลูก ทำให้ปีกมดลูกแตก และมีเลือดตกภายใน คุณหมอค่อนข้างตกใจที่เรายังไม่ร้องโอดโอย จากประสบการณ์การใช้ชีวิตกับพี่ A ทำให้เรารู้ว่าน้ำตาไม่ช่วยอะไร


เราต้องผ่าตัดด่วน ซึ่งพี่ A ไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ แต่เป็นครอบครัวเรา ประกันชีวิต และบัตรทอง ซึ่งทำให้คุณแม่เราค่อนข้างไม่ชอบใจพี่ A เราก็คอยประสานรอยร้าวระหว่างพี่ A กับแม่ วันนึงคุณแม่ คุณป้า เรา พี่ A พี่สาวพี่ A และครอบครัว นัดกันไปทานอาหารเพื่อปรับความเข้าใจค่ะ คุณแม่ท่านขอให้พี่ A จัดงานฉลองสมรสให้เรา และดูแลกิจการของพ่อกับแม่ และอาศัยในบ้านที่ท่านซื้อเตรียมไว้ให้ ถ้าเรารักกันขอให้พี่ A เอ่ยปากขอโทษและจัดงานฉลองสมรส แต่หลังจากทานอาหารวันนั้น เรา คุณแม่ คุณป้า กอดกันร้องไห้ เพราะพี่เขยพี่ A พูดจาดูถูกครอบครัวเราซึ่งเป็น “กากา” (ในศาสนา อ. จะเรียกคนศาสนาอื่นๆว่า “กากา” ค่ะ) จนทางครอบครัวเราต้องพับโครงการฉลองสมรสไปเลย

ช่วงที่พี่ A ได้งานที่ 2 นี้ เราคือกระสอบทรายค่ะ มีปัญหาเรื่องเครียดจากที่ทำงาน เราโดนตวาด บีบแขน ทำร้ายร่างกาย ทำร้ายข้าวของ ครั้งนึงขณะที่เราทั้งคู่กำลังจะ pray เราไปโดนพี่ A โดยไม่ตั้งใจ (ในศาสนาอ. ก่อนจะ pray ต้องมีการชำระร่างกาย ซึ่งชายหญิงห้ามโดนตัวกันไม่งั้นต้องไปชำระร่างกายใหม่) เราโดนพี่ A จับหัวโขกพื้นหินอ่อนย้ำๆ ค่ะ สำหรับสินสอดเราก็ทวงนะคะ แต่ทวงมากๆ ก็โดนตวาด ตุบตับ จนเรารู้สึกว่าถ้าพี่เครียดออกจากงานก็ได้นะคะ ไม่อยากเจ็บตัวแล้ว เงินเดือนเรา และอาชีพเราตอนนั้นได้มากกว่า 2 เท่า มั่นคงกว่าด้วยค่ะ พี่ A ก็ออกจากงานมาอยู่บ้านเฉยๆค่ะ แต่กลับสร้างปัญหาที่เรานึกไม่ถึงอย่างนึง เมื่อเราแต่งตัวไปทำงานตอนเช้าด้วยเสื้อผ้ารุ่มร่ามหลายชิ้น เรากลับโดนพี่ A รั้งไว้ เพื่อคลุกวงในทุกเช้า ในศาสนา อ. เมื่อโดนคลุกวงในแล้วต้องอาบน้ำสระผมอีกรอบ เราเหนื่อยและไปสายเกือบทุกวัน ยิ่งเครียด ก็เลยพยายามให้พี่ A มาทำงานที่เดียวกับเราด้วยค่ะ ซึ่งรอบนี้พี่ A ได้ค่ะ ดีใจไปเปราะนึง

ช่วงนี้เราเริ่มเก็บเงินค่ะ และชวนพี่ A เปิดบัญชีด้วยกันเพื่อเก็บค่าสินสอดที่ค้างเราและจัดงานฉลองสมรส พี่ A กลับมองเราแบบไม่ไว้ใจและไม่ยอมเปิดบัญชีค่ะ เราก็ได้แต่เก็บคนเดียวเงียบๆ ในภาพวาดหนังสือศาสนาที่บอกว่าผู้ชายจะเป็นผู้ดูแลผู้หญิง ผู้หญิงเป็นผู้เชื่อฟังผู้ชาย พี่ A ไม่เคยทำได้เลยค่ะ พอเริ่มได้งานที่ 3 ก็อยากได้รถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเราเป็นคนออกรถ และจ่ายค่างวดในช่วงแรกๆค่ะ พี่เค้าได้ของถูกใจไม่ค่อยอาละวาดเท่าไร แต่เค้าจะใช้มอเตอร์ไซค์เป็นเครื่องมือแทนค่ะ เวลาไม่พอใจเราเมื่อเราซ้อนท้ายก็จะเบิ้ลรถแรงๆ เราที่มีปัญหาเรื่องมดลูกอยู่แล้วบางครั้งเลือดออกจากการขับกระโชกโหกฮากเลยค่ะ มีถึงขั้นโมโหเราจนหน้ามืดตามัวขับรถชนรถกระบะจนเราบาดเจ็บ แต่พี่ A ไม่เป็นไรค่ะ พี่ A ผู้ซึ่งจบกฎหมายแต่ไม่สามารถเถียงเรื่องการขับรถได้ จนเราต้องควัก 1,000 บาทเอง เพื่อจบเรื่องทุกอย่าง เราขอร้องให้พี่ A พาเราไปโรงพยาบาลซึ่งอยู่ตรงข้ามที่พัก เพราะเรารู้สึกว่าเลือดเราไหล แต่ไม่ค่ะ พี่ A ขับกระชากและลากเราไปที่ห้อง จนเราต้องเดินหอบสังขารไปโรงพยาบาลเอง


ครั้งนึงพ่อเราให้ของขวัญเราเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท และรวมเงินเก็บของเราคนเดียวประมาณ 60,000 บาท พี่ A ทราบ และโทรไปเล่าให้ที่บ้านที่จังหวัดปัดยายโน้นฟัง แล้วหนึ่งวันต่อมาพี่สาวอีกคนของพี่ A โทรมาให้เราซื้อเครื่องกรองน้ำ 14 เครื่อง ซึ่งพอดีกับจำนวนเงินที่เรามีในตอนนั้นเป๊ะๆค่ะ เราปฏิเสธไป คราวนี้พี่ A ขอเปิดบัญชีร่วมกับเรา เราก็ดีใจที่อย่างน้อยพี่คิดได้ แต่พี่ A อยากได้ IPhone ค่ะ เราไม่ซื้อให้ในตอนแรก พี่ A ก็หาเรื่องทะเลาะกับเราตลอดจนต้องซื้อให้ด้วยเงินสด ซึ่งตอนนั้นเราใช้ Samsung Hero อยู่ค่ะ หลังจากพี่ A มีโทรศัพท์ใหม่เราก็ห่างกันเรื่อยๆ ถึงแม้จะอาศัยด้วยกัน เราแทบไม่คุยกันเลยค่ะ เราก็ยังคงทวงถามเรื่องสินสอด พี่ A บอกปัดว่าไม่มีตลอด โชคดีของพี่ A อีกครั้ง งานที่เคยสอบไว้เรียกตัว ซึ่งดีกว่างานเดิม และไม่ไกลจากที่ทำงานที่เราอยู่ค่ะ พี่ A ขอบคุณเราเพราะงานนี้เป็นงานที่เราสมัครให้ จ่ายค่าสมัครให้ ลากไปสอบ แต่ช่วงนั้น งานที่เราทำมีปัญหาเนื่องจากมีการเปลี่ยนหัวหน้างานใหม่ หัวหน้างานคนใหม่เป็นคนที่มีอคติกับคนศาสนา อ. ค่ะ บางเรื่องเราก็เล่าให้พี่ A ฟัง ก็โดนตวาดว่าทำไมแค่นี้ทนไม่ได้ แต่พี่ A ไม่ได้ทำแค่นั้นค่ะ พี่ A สร้างเฟซบุ๊คนึงไปโจมตีหัวหน้างานและผู้บริหารที่ทำงานเรา ตอนแรกเราไม่รู้ค่ะ แต่มารู้ทีหลังว่าเป็นพี่ A ซึ่งหัวหน้างานและผู้บริหารเราก็รู้พร้อมเรา มันทำให้เราอยู่ยาก เพราะหัวหน้างานก็ไม่ชอบเราอยู่แล้ว ถึงขั้นขู่ให้คนมาทำร้ายเราจนเรากลัว ตอนนั้นเรากลัวตัวสั่นเกือบจะเป็นประสาท นี่เราโดนรังแกที่บ้านแล้วยังมาโดนรังแกที่ทำงานอีกหรอ ตอนนั้นเกือบบ้าเลยขอลาออก ก่อนลาออกผู้บริหารก็เรียกเราไปคุย เราได้ขอโทษและปรับความเข้าใจกัน ตัวพี่ A เองไม่ได้สำนึกในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเลยค่ะ

เราออกจากงานก็เริ่มสมัครงานใหม่ สิ่งที่เราสัมผัสคือ ความ toxic จากคนอื่นๆที่มีต่อเรา เคยโดนสัมภาษณ์โจมตีเราเรื่องศาสนา เพราะเราใส่สัญลักษณ์ของผู้หญิงศาสนา อ. บนศีรษะ ทั้งๆที่พ่อแม่เราก็คนพุทธเหมือนผู้สัมภาษณ์ แต่เราก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หรือจากคนศาสนา อ. ด้วยกัน ที่มองเหยียดหยาม “มุมุ” แต่ด้วยสิ่งที่ศาสนา อ. สอน เรื่องแบบนี้คือบททดสอบเราต้องผ่านไปให้ได้ค่ะ ยิ่งมีเรื่องร้ายแสดงว่า GOD ยิ่งรักเรา

เรากับพี่ A เริ่มห่างขึ้นไปอีกเมื่อเราอยู่ในช่วงหางาน พี่ A ไม่ได้ให้ค่าใช้จ่ายอะไรเรา เราจะถอนเงินในบัญชีที่เปิดร่วมกันไว้ก็ไม่ได้ พี่ A ก็อ้างว่าเป็นเงินเก็บพี่ A คือพี่เก็บตอนไหนคะพี่ ครอบครัวรู้ว่าเราเครียดจึงชวนเราไปเที่ยวต่างประเทศ ต่างจังหวัด แต่พี่ A ห้ามและโกรธทุกครั้ง บางครั้งเรากลับบ้านก็โกรธเรา แต่จะมัดมือชกให้เราเดินทางไปบ้านพี่ A ที่จังหวัดปัดยายโน้นอยู่เสมอ

เข้าสู่ปีที่ 5 ในการแต่งงานตามหลักศาสนา เราเริ่มตั้งคำถาม ทำไมคนในศาสนาเดียวกันเราอย่างศาสนา อ. ถึงไม่เมตตาเรา คำพูดเรื่องที่เราไม่ใช่คนศาสนา อ. แท้ เราไม่ใช่ชาว ม. แท้กระทบใจเรามาก เรา pray ไม่เคยขาด ทำตามหลักศาสนาทุกอย่างเพื่อต้องการความรักจากคนที่เราเรียกว่าพี่น้องบ้าง กลับเจอเรื่องบั่นทอนจิตใจ เพราะเราไม่ใช่ มุมุ ที่รวย เพราะเราไม่ใช่ศาสนิก อ.ที่ตระกูลดัง สังคมที่มีพี่น้องศาสนา อ.สำหรับเรื่องเราในตอนนั้นมีแต่เรื่องวุ่นวาย คำนินทา ต่อให้เราทำทุกอย่างตามที่หลักศาสนา อ.บอก เราก็ไม่ใช่ อ.แท้ ไม่เหมือนคนที่พ่อแม่เป็น อ. ต่อให้เค้าไม่ต้องแต่งกาย ไม่ละหมาด เค้าคือ อ. แท้ ที่พี่น้องในสังคม อ.ตอนนั้นยกย่อง

เราทวงถามพี่ A เรื่องสินสอด แต่พี่ A บอกว่าไม่มีเงิน แต่เอ่ยปากว่าขอซื้อรถยนต์ และขอให้เรายืมเงินจากพ่อเรา เราไม่ทำตามที่พี่ A ขอ ก็มีเรื่องมาชวนทะเลาะเราเรื่อยๆ พูดจาเชิงดูถูกพ่อเราที่เป็น ”กากา” จนเราร้องไห้ไปขอร้องไป แต่เค้าไม่เคยฟัง วันนึงพี่ที่ทำงานเก่าชวนเราไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งพ่อแม่เราก็สนับสนุน ครั้งนี้เราเลือกที่จะไม่ขอพี่ A เพราะเราเริ่มเหนื่อยกับการต้องเอาใจคนอื่น พี่ A โทรไปถามพ่อเรา ซึ่งท่านก็บอกว่าเราเดินทางไปต่างประเทศ เราขอโทษที่ไม่บอก เพราะถ้าบอกก็คงไม่ได้ไป เราให้พี่ A ดูโทรศัพท์เรา กล้องถ่ายรูปเรา มีรูปที่เราถ่ายกับเจ้าของร้านอาหารท้องถิ่นชื่อดัง ซึ่งในรูปเค้าจับไหล่เราไว้ พี่ A ก็โวยวายว่าเรามีชู้ ถึงขั้นหยิบมีดมาตอนกลางคืนตอนเราหลับอยู่ เราเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว


วันรุ่งขึ้น เราเก็บของสำคัญที่พอเก็บได้ไปพักอยู่กับน้องสาว มันมีความสุขมากๆ ได้คุยกับน้อง ได้เล่นกับน้อง แต่มีบางช่วงที่พี่ A มาหามาเยี่ยมบ้าง การห่างการครั้งนี้เรารู้สึกดีมาก ไม่ได้เป็นที่ระบายอารมณ์ของใคร แม้ว่าน้องสาวเราจะไปฝึกงานเราก็ไม่ยอมกลับไป แต่ยิ่งพี่ A ยิ่งไม่พอใจที่เราไม่ยอมกลับไปสักที และคิดว่าเราอยู่กับชู้ พี่ A ใช้ find my IPhone ตามเครื่องเรา ซึ่งที่พักของน้องเราอยู่ใกล้กับโรงแรม ถ้าไม่ซูมก็จะคิดว่าสัญญาณมาจากโรงแรมข้างๆ แต่พอซูมแล้วก็รู้ว่าสัญญาณ IPhone ก็อยู่ในห้องน้องสาวนั่นแหละ ถึงแม้เราจะพิสูจน์ให้พี่ A ดูต่อหน้าพี่ A ก็ยังคงปฏิเสธจนถึงที่สุด และที่ว้าวสุดคือ พี่ A ซื้อเครื่องดักฟังมาซ่อนไว้ในห้องน้องสาว ซึ่งพี่ A ได้ยินเสียงผู้ชายและนั่นคือเสียงพระเอกในทีวี พี่ A คลั่งจนถึงขั้นต่อยตู้ไม้จนพังไปหนึ่งบาน อีกวันนึงที่พี่ A มาเราเลยบอกเลิกพี่ A คราวนี้พี่ A บีบคอเราตบเรา และต่อยตู้ไม้ไปอีก 1 บาน เราไล่พี่ A กลับไป แต่พี่ A ก็ยังมาเคาะประตูห้องน้องสาวตอนดึกๆ เป็นเดือนๆ จนเราหลอนที่จะออกจากห้อง

วันนึงเราตัดสินใจเปิดประตูและคุยกันอย่างผู้ใหญ่ สิ่งที่เราเจอในมือถือพี่ A คือแชทสาวๆต่างๆ พี่ A บอกว่าเพราะเราห่างพี่ A ไปพี่ A เหงา “ต้อง” หาผู้หญิงมาคุยด้วย และยังขับมอเตอร์ไซค์ไปหาเค้าด้วยจากทุ่งบางกะปิถึงนวนคร คือ WTF เราบอกเลิกกับพี่ A จริงจังอีกที คำพูดที่เราจำได้คือ แล้วต่อไปพี่จะคลุกวงในกับใคร ว้าวเลย หลังจากวันนั้นพี่ A ยิ่งหลอนเรื่อยๆ มาเคาะประตูทุกคืน จนถึงเราต้องไปนอนในห้องน้ำ เราถูกสอนว่าเรื่องระหว่างสามีภรรยาในศาสนา อ. คือเรื่องส่วนตัว บาปที่จะพูดเรื่องนี้ออกไป สิ่งที่พี่ A มีคือบุคลิกที่ใครเห็นก็รักและเอ็นดู พ่อ ป้า พี่สาวเรารักเอ็นดูพี่ A มาก พี่ A พยายามเข้าทางครอบครัวเรา เราเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย เราเลยหายตัว ขาดการติดต่อจากทั้งพี่ A ทั้งที่บ้านไปเกือบ 3 เดือน เพื่อให้ขาดกันจริงๆสักที

ในช่วงเวลา 3 เดือนนั้น เราได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่พี่ A ทำกับเรา สิ่งที่คนในศาสนา อ. ปฏิบัติกับเราไม่ใช่เรื่องปกติ พ่อเราเป็นคนบอกว่าจบกันก็คุยกันก่อน เราจึงรับคำเชิญพี่ A ไปทานข้าว พี่ A บอกกับเราว่า เค้าเปลี่ยนไปแล้ว เราจึงพูดกับเค้าว่าถ้าพี่ให้สินสอดและตกลงจัดงานฉลองสมรสกับหนูตอนนี้เลย เรากลับมาเริ่มกันใหม่ได้ แต่พี่ A ก็ได้พูดคำพูดที่ดูถูกถึงบุพการีของเราที่เป็น “กากา” และบอกว่าไม่มีเงินกับเราอีกครั้ง ครั้งนี้คือครั้งที่ใจเราไม่เหลือให้เค้าจริงๆ

ไม่นานจากนั้นเรามีโอกาสได้รับสายพี่ A เพราะเราลบเบอร์ไป และไม่รู้ว่าเบอร์ใคร เค้าขอโอกาสเรา ซึ่งเราบอกไปว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันล่าสุดนั่นคือเราได้ให้โอกาสเค้าแล้ว แต่เค้าพูดทำร้ายจิตใจเราเหมือนเดิม พี่ A โวยวายใหญ่ว่าทำไมเราไม่บอกพี่เค้าก่อนพี่เค้าจะได้เตรียมตัว พอค่ะพี่คะ

เป็นปีเลยเราได้เจอกับพี่ A อีกครั้ง ในช่วงที่ต้องไปเก็บของคืน ซึ่งพ่อแม่เราก็ไปด้วย ครั้งนี้เราไม่หวั่นไหวอะไร ไม่สามารถไว้ใจอะไรเค้าได้แล้ว


ล่าสุดกลางปีที่แล้ว พี่ A โทรมาให้เราไปเซนต์ใบหย่าตามหลักศาสนาที่จังหวัดปัตยายโน้นให้แต่จริงๆแล้วในใบหย่าทางศาสนาสามารถหย่าที่ไหนก็ได้ และภรรยาไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวในขั้นตอนหย่าก็ได้ ศาสนา อ. มอบอำนาจเต็มให้สามีหย่าได้โดยไม่มีภรรยาปรากฏ เราจึงทวงถามพี่ A ไปว่าค่าสินสอดเราตามหลักศาสนาล่ะคะ “พี่เค้าให้คำตอบว่าเราไม่เอาเองไม่ใช่หรอ เราเลิกกันไปแล้วไม่ใช่หรอไม่มีสิทธิแล้วนิ” ไม่ใช่เราไม่เอาหรอกนะ เราทวงทุกครั้งก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีเงิน และมันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีสินสอด ไม่มีไม่ได้ คุณเรียนศาสนามาถึงระดับ 9 คุณไม่รู้เลยหรอ พี่ A ก็โทษเราอีกว่าเราไม่เตือน ไม่ทวงเอง ซึ่งเราทวงจนปากเปียกปากแฉะ ให้เวลาเป็น 10 ปีก็ไม่สามารถคืนเราได้ แล้วยังจะขอผ่อนอีก ครั้งนี้พี่ A เปิดโฟนด้วยซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเป็นใครบ้างที่รับรู้เรื่องนั้น คุยกันจบพี่ A สัญญาว่าจะหาให้ได้ภายใน 5-6 เดือน แถมไลน์มาบอกว่าเราคงอัดไว้แล้วสินะ เสียงก้องๆหน่ะ คือพี่คะ ถ้าพี่เปิดโฟนเสียงพี่ก็จะก้องหน่ะคะ เราไม่นิยมใช้เครื่องดักฟังกับใครค่ะ

เรารอจน 6 เดือนถึงทักพี่ A ไปเรื่องเงินสินสอด ซึ่งก็ต้องให้เราทวงอีกแล้ว พี่ A เงียบบบบ เราจึงใช้ทักษะนักสืบชั้นสูงหาที่ทำงานปัจจุบันพี่ A ได้เบอร์มาจึงส่งข้อความไปให้พี่ A ว่า นี่คือเบอร์ที่ทำงานใช่มั้ยคะ เย็นวันนั้นเราได้เงินมาในบัญชี 5,000 บาท จ้า

เช้าสุดสัปดาห์นี้ มีเบอร์แปลกโทรมาแต่เช้าตรู่ เป็นเบอร์ที่เพิ่มเพื่อนด้วยโทรศัพท์ในไลน์ เห็นรูปเป็นเจ้าสาวศาสนา อ. พร้อมกับเด็กน้อยสองคน ซึ่งเราคิดว่าเป็นภรรยาใหม่ของพี่ A แน่ เราจึงเอาเบอร์ไปเสิร์ชในเฟซบุ๊ค ก็เจอรูปงานฉลองสมรสของพี่ A และภรรยา เราไม่ได้ตกใจอะไร แต่ไลน์บอกไปว่าสงสัยหรืออยากอะไรคุยกับเราได้ตรงๆ ภรรยาพี่ A โทรมา ในขั้นแรกขึ้นเสียงห้วน ซึ่งเราก็ห้วนกลับ

ภรรยาพี่ A: พี่ A ติดเงินคุณเท่าไหร่
เลิกกันไปแล้วไม่ใช่หรอ
ถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา
พี่ A ชวนหย่าคุณไม่ยอมหย่าเอง
ยังไงพี่ A ก็สามารถจดทะเบียนทางศาสนาได้ 4 คน และไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมายใดๆกับคุณ

เรา: เป็นเงินค่าสินสอด ไม่ให้ไม่ได้
จดทะเบียนทางศาสนามีข้อผูกพันแค่ในเขตจังหวัดใต๊ใต้ และในทะเบียนทางศาสนาสลักว่าให้จ่ายค่าสินสอด 40,000 บาทภายใน 1 ปี
ส่วนเรื่องทะเบียนหย่าพี่ A สามารถไปทำได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีเราได้

ภรรยาพี่ A : ทำไมไม่ทวง ทำไมไม่ฟ้อง ทำไมไม่บอกครอบครัวเค้า

เรา: เราทวง เราพยายามจะฟ้องแต่ไม่มีใครฟังมุมุแบบเรา
สินสอดเป็นเรื่องของเรากับอดีตสามีไม่ใช่เรื่องของครอบครัวเค้า

ภรรยาพี่ A : (ร้องไห้) บอกว่าไม่มีจริงๆ กำลังท้องอยู่ด้วย ตอนนี้ออกจากงานอยู่บ้านเฉยๆ

เรา: ไม่ขอคุยเพราะเราไม่เคยมีปัญหากับคุณภรรยา แต่มีปัญหากับอดีตสามี
เราไม่อยากกระทบกระเทือนจิตใจคนท้อง
หากเค้าไม่คืนก็ขอให้สิ่งที่เค้าทำกับเราตกอยู่กับผู้หญิงในครอบครัวเค้า

ภรรยาพี่ A: (ภรรยาเริ่มคุมอารมณ์อยู่) พี่ A คงไม่อยากคุยกับคุณ
ให้คุยกับเธอเนื่องจากสามีเป็นคนให้เงินเธอเก็บ และเพิ่งออกรถยนต์ไปต้องผ่อนอีก
ขอผ่อน

เรา: ไม่ยอม (รำคาญอ่ะ ผู้ชายอะไรให้ผู้หญิงท้องมาแก้ปัญหาให้ตัวเอง)

ภรรยาพี่ A: ทำไมถึงเลิกกัน

เรา: เราโดนดูถูกที่มีพ่อแม่เป็น “กากา” โดนทำร้ายร่างกายจิตใจ ไม่เคยดูแลภรรยาในทรัพย์สินที่ได้ ใช้เงินเราเป็นเบี้ย ไม่เคยรักษาสัญญา

ภรรยาพี่ A: มีผู้หญิงหลายคนระรานเธอ มีนางฟ้าชุดขาวจากจังหวัดใต๊ใต้จังหวัดหนึ่งระรานเธอเรื่องสามี

เรา: -รับฟังเฉยๆ เพราะเราไม่รู้เรื่อง-

ภรรยาพี่ A: พักที่ไหน

เรา: -บอกที่พัก-

ภรรยาพี่ A: ใกล้ๆเหมือนกันนะ

เรา: -ก็นึกว่าเธอคงอยู่นวนคร-
(แต่เธอหมายความว่าใกล้กับที่ทำงานสามีเธอ ซึ่งเราเข้าใจผิดว่าเป็นสาวนวนครคนที่อดีตสามีเราเคยแชทคุยด้วย เธอคนนี้เป็นศาสนิก อ. แท้อยู่ไกลมากๆจากที่พักเราและที่ทำงานสามีเธอ)

เรา: เจอกันตอนไหนหรอ

ภรรยาพี่ A: เพิ่งเจอกันเมื่อปีที่แล้ว เรียนด้วยกัน
พี่ A เล่าให้เธอฟังว่าเป็นคนบอกกับเราก่อนเรียนต่อว่าเราจะเอาเงินอะไรไหม
เค้าจะได้เอาเงินไปเรียนต่อ

เรา: ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเค้าเรียนอะไร เค้าไม่โทรมาถามหรือบอกเรื่องนี้

ภรรยาพี่ A: แต่งงานด้วยสินสอด 127 บาท อยากจะทำให้การแต่งงานง่ายที่สุดเพื่อการสรรเสริญ
ถ้าคุณได้ 127 บาทไปแล้วก็ไม่ต้องเอา 40,000 บาทก็ได้นะ

เรา: ตอนแรกเราไม่ได้เรียกสักบาท
แต่ผู้ทำการสมรสให้ที่องค์กรศาสนา อ. จังหวัดปัดยายโน้นเรียกให้แทนเรา 40,000 บาท และผู้ทำการสมสมบอกกับเราว่า ฝ่ายหญิงสามารถเรียกเท่าไหร่ก็ได้ไม่ใช่ 127 บาทอย่างที่เข้าใจ

ภรรยาพี่ A: ตอนแต่งกับพี่ A เค้าก็ไม่มีเงินเหมือนกัน แต่พี่สาวพี่ A เป็นคนให้ เลยเอาไปดาวน์รถ
ยังไม่เคยเดินทางไปที่บ้านพี่ A ที่จังหวัดปัดยายโน้นเลยสักครั้ง
ที่จัดงานฉลองสมรสเพราะเป็นลูกสาวคนเดียวและย้ำว่าเป็นลูกสาวคนเดียว
และก็ย้ำว่ากับพี่ A ตอนนี้อยู่กันที่บ้านครอบครัวของเธอซึ่งไม่เหมือนกับเราที่อยู่ด้วยกันสองคน
ถามว่ามีครอบครัวหรือยัง ทำไมไม่แต่งงานใหม่เดี๋ยวไม่มีคนดูแล

เรา: เราก็บอกว่าหลาบเจอแบบอดีตสามีมาหลาบ และเราก็ดูแลตัวเองได้

ภรรยาพี่ A: (หัวเราะ) กับพี่ A ก็ต่างคนต่างอยู่ (หัวเราะ) -ย้ำ-กับพี่ A ก็ต่างคนต่างอยู่
(คือจะบอกว่าแยกค่าใช้จ่ายกัน ไหงตอนแรกบอกเพิ่งออกจากงานไม่มีเงินลำบาก)

ภรรยาพี่ A: ว่างๆก็โทรมานะ


สรุป เราตกลงให้อดีตสามีผ่อนจ่ายให้ได้แบบไม่เต็มใจเท่าไหร่ เพราะเห็นแก่ที่ภรรยาเค้าท้อง ท้องจริงท้องปลอมไม่รู้ แต่ผู้ชายที่ให้ผู้หญิงสองคนที่ไม่เกี่ยวข้องไรกันต้องมาคุยกันเรื่องปัญหาของตัวเองไม่แมนเลย 10 ปีพิสูจน์ได้ดีจริงๆ ว่าคนไม่มีทางเปลี่ยนไป

อย่าแต่งห้ามข้ามศาสนากับศาสนิก อ. ค่ะ ขอเตือน

https://pantip.com/topic/40504841




นโยบายคาสิโนถูกกฎหมาย "ก้าวไกล"

คาสิโนถูกกฎหมาย รัฐกำกับดูแล   https://www.facebook.com/photo/?fbid=122209168586084886&set=a.122102046398084886 ส่องแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้...