วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

นรกของแต่ละศาสดา

       พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกถึงหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อสาลา   พวกพราหมณ์คหบดีชาวหมู่บ้านนี้  ได้ทราบกิตติศัพท์ของพระองค์     จึงพากันไปเฝ้า    แสดงอาการต่างๆ ในฐานะอาคันตุกะที่ยังไม่ได้นับถือกัน  มีคำสนทนา ดังนี้ 

       พระพุทธเจ้า:  คหบดีทั้งหลาย พวกท่านมีศาสดาท่านใดท่านหนึ่งที่ถูกใจ ซึ่งท่านทั้งหลายมีศรัทธาอย่างมีเหตุผล    (อาการวตีสัทธา)  อยู่บ้างหรือไม่ ?

        พราหมณ์คหบดี ไม่มีเลย  ท่านผู้เจริญ

        พระพุทธเจ้า:  เมื่อท่านทั้งหลาย   ยังไม่ได้ศาสดาที่ถูกใจ  ก็ควรจะถือปฏิบัติหลักการที่ไม่ผิดพลาดแน่นอน (อปัณณกธรรม)    ดังต่อไปนี้    ด้วยว่า   อปัณณกธรรมนี้   เมื่อถือปฏิบัติถูกถ้วน  จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน   หลักการที่ไม่ผิดพลาดแน่นอนนี้เป็นไฉน ?” 

       สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง   มีวาทะ   มีทิฐิว่า:    ทานที่ให้แล้วไม่มีผล   การบำเพ็ญทานไม่มีผล  การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วไม่มี   โลกนี้ไม่มี     ปรโลกไม่มี  มารดาไม่มี   บิดาไม่มี  ฯลฯ  ส่วนสมณพราหมณ์ อีกพวกหนึ่ง   มีวาทะ   มีทิฐิ   ที่เป็นข้าศึกโดยตรงกับสมณพราหมณ์พวกนั้นทีเดียวว่า:     ทานที่ให้แล้วมีผล  การบำเพ็ญทานมีผล   การบูชามีผล   ฯลฯ   ท่านทั้งหลายเห็นเป็นไฉน ?    สมณพราหมณ์เหล่านี้    มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันมิใช่หรือ ?"

     พราหมณ์คหบดี  ใช่อย่างนั้น

      พระพุทธเจ้า  สมณพราหมณ์ ๒ พวกนั้น   พวกที่มีทิฐิว่า   ทานที่ให้แล้วไม่มีผล   การบำเพ็ญทาน ไม่ มีผล ฯลฯ  สำหรับพวกนี้    เป็นอันหวังสิ่งต่อไปนี้ได้   คือ    พวกเขาจะละทิ้ง   กายสุจริต  วจีสุจริต มโนสุจริต  อันเป็นกุศลธรรมทั้ง ๓ อย่างเสีย   แล้วจะยึดถือประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ซึ่งเป็นอกุศลธรรมทั้ง ๓ อย่าง  ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุอะไร ?      ก็เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น    ย่อมไม่มองเห็นโทษ  ความทราม  ความเศร้าหมอง แห่งอกุศลธรรม และอานิสงส์ในเนกขัมมะ  อันเป็นคุณฝ่ายสะอาดผ่องแผ้วของกุศลธรรม

       ในเรื่องนั้น   คนที่เป็นวิญญูชน  ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า     “ถ้าปรโลกไม่มี   ท่านผู้นี้   เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ไป  ก็ทำตนให้สวัสดีได้    แต่ถ้าปรโลกมี   ท่านผู้นี้    เมื่อแตกกายทำลายขันธ์   ก็จะเข้าถึง อบาย   ทุคติ  วินิบาต  นรก   เอาเถอะ   ถึงว่าให้ปรโลกไม่มีจริงๆ   ให้คำของท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น  เป็นความจริงก็เถิด    ถึงกระนั้น   บุคคลผู้นี้   ก็ถูกวิญญูชนติเตียนได้ในปัจจุบันนี้เอง  ว่า  เป็นคนทุศีล  มีมิจฉาทิฐิ  เป็นนัตถิกวาท   ก็ถ้าปรโลกมีจริง   บุคคลผู้นี้ก็เป็นอันได้แต่ข้อเสียหายทั้งสองด้าน   คือ   ปัจจุบันก็ถูกวิญญูชนติเตียน   แตกกายทำลายขันธ์ไปแล้ว  ก็เข้าถึง อบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  อีกด้วย  ฯลฯ

   #ดังว่านรกแนวพุทธ ข้างล่างนรกแนวอิสลาม  วิธีสอนวิธีคิดของแต่ละศาสดา ทำยังไงตกนรก

การตัดสินใจทียากที่สุดของชีวิต "เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา"

กระทู้นี้ตั้งใจพิมพ์มาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นและที่มาที่ไป ไม่ได้มีเจตนาอื่นๆ ใดทั้งสิ้น เพราะยังเคารพนับถือเพื่อนพี่น้องมุสลิมอยู่

ผมเกิดในครอบครัวมุสลิมที่นครศรีธรรมราช พ่อเป็นคนสตูล แม่เป็นคนท่าศาลา พ่อเสียตอนผมอายุ 3 ขวบ ส่วนแม่ก็ไปทำงานที่บาห์เรน ผมจึงอยู่กับตายายมาตลอด และตอนเด็กๆ จึงถูกสอนและฝึกการละหมาด การท่องจำและศึกษาคัมภีร์กุรอานมาตลอด

ตอนอายุประมาณ 6 ย่าง 7 ตากับยายคิดจะส่งผมไปเรียนปอเนาะ แต่มีคนพุทธข้างบ้านแนะนำให้ผมไปเรียนโรงเรียนทั่วไป เพื่อหน้าที่การงานในอนาคต ดังนั้น ผมจึงได้เรียนโรงเรียนทั่วๆไป ตั้งแต่ ป.1 จนถึง ม.6 จึงคลุกคลีอยู่กับวัฒนธรรมบางอย่างของคนพุทธตลอด เช่น การไหว้พระ (ก่อนหน้านั้นไม่ได้ไหว้ เพราะตายายสอนว่าห้ามไหว้เดี๋ยวตกนรก) การไหว้ครู และอื่นๆ ส่วนเรื่องวิถีชีวิต เช่น การละหมาด ผมจะละหมาดที่โรงเรียน 2 ครั้งในช่วงเที่ยง และช่วงก่อนกลับบ้าน หากติดคาบก็จะขออนุญาตคุณครูไปละหมาด ส่วนเรื่องละหมาดวันศุกร์ ก็จะขอลาในตอนเที่ยงเพื่อไปละหมาดและฟังคุตบะฮ์ตลอด แต่ก็ต้องมาศึกษาหาความรู้กันเอาในภายหลังเพื่อให้การเรียนผ่านพ้นไปด้วยดี

หลังจากที่เข้าเรียนในมหาลัย ในฐานะมุสลิม จึงสนใจเหตุการณ์ที่ตะวันออกกลางด้วย จนกระทั่งวันหนึ่งพบข่าวว่า รัสเซียให้ความช่วยเหลือซีเรีย ทำการขับไล่ และโจมตีกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนออกไปจากซีเรีย ผมจึงเกิดความคิดว่า "ทำไมไม่ให้มุสลิมช่วยมุสลิม แต่กลับเป็นคนนอกศาสนาที่ช่วยมุสลิม และช่วยขับไล่พวกมุนาฟิกเสียเอง" ซึ่งสาเหตุที่คิดแบบนี้ เพราะในช่วงนั้น ได้ศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ของตะวันออกกลางที่กุรอานไม่ได้บอกไว้ ศึกษาความเป็นมาของทั้งศาสนาอิสลาม คริสต์ ยิว ที่นอกเหนือไปจากกุรอาน อ่านจากทั้งในหนังสือและในอินเทอร์เน็ต

จนพบว่า ศาสนาอิสลาม แท้จริงแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับศาสนาคริสต์ และยิว เพียงแต่มันเป็นการแยกความคิดแตกใหม่ และซับซ้อนมาก และมาในรูปแบบประมาณว่า ถ้ายิวต้องให้ทำสุหนัต คริสต์จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำ หรือต้องทำก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นนิกายไหน ส่วนอิสลามจะกลับมาบังคับ ว่า ต้องทำทุกนิกายทุกมัชฮับ ซึ่งทำให้รู้สึกสับสนว่าอันไหนผิดถูกจนไม่ได้คิดอีกไประยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้อ่านข่าวที่รัสเซียให้ความช่วยเหลือซีเรีย ทำให้ย้อนคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ อิสลามซึ่งเคยชนะ และทำให้ผู้คนในหลายเผ่าในดินแดนอาหรับเลื่อมใสศรัทธา ทั้งยังชนะพวกครูเสดได้

แต่ทำไมต้องแยกเป็นซุนนีและชีอะฮ์ ทำไมต้องเกิดความขัดแย้งกันเองตลอด ทำไมจึงต้องเกิดกลุ่มซาลาฟี (หรือที่หลายๆ คนรู้จักในชื่อ วาฮะบีย์) ทำไมปาเลสไตน์จึงต้องหายไป และกลายเป็นอิสราเอลแทน นั้นทำให้เริ่มสงสัยว่าบททดสอบของอัลลอฮ์นั้นจะยาวนาน และโหดร้ายไปอีกนานสักแค่ไหน

จึงย้อนกลับมาดูทางคริสต์ ซึ่งไปรุ่งเรืองในแผ่นดินยุโรป พบว่าคริสต์หลังยุคอาณาจักรโรมันนั้นแทบจะเป็นยุคมืด ศาสนจักรครอบงำผู้คน ชักชวนผู้คนรบราฆ่าฟันกับกลุ่มมุสลิม บ้างก็ใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่ขัดแย้งกับศาสนจักร ผ่านไปหลายศตวรรษ กลายเป็นว่าเมื่อถึงยุคเรเนซองส์ ความขัดแย้งทางศาสนาแทบจะหายไป วิทยาศาสตร์ ปรัชญา วิทยการที่เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มขัดแย้งกันน้อยลง ศาสนาก็ห่างจากชีวิตผู้คนในยุโรปมากขึ้น ในขณะที่วิทยาศาสตร์ที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอาหรับก็ค่อยๆ หายไป แถมบางครั้งยังถูกมองว่าขัดแย้งกับศาสนาอีก จนกลายเป็นว่าปัจจุบัน ยุโรปในตอนนี้ เริ่มแยกจากศาสนาได้สำเร็จ และสามารถพัฒนาตัวเองเป็นผู้นำโลกได้

ส่วนโลกอาหรับนั้นแทบไปไม่ถึงไหน โดยเฉพาะตั้งแต่หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมานั้น ชาติอาหรับก็เกิดความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด

ในช่วงแรกนั้น ด้วยความที่ยังเกรงกลัวสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าอยู่ จึงคิดจะไปนับถือศาสนาคริสต์ แต่ก็พักความคิดชั่วระยะหนึ่ง เพราะต้องการเลือกศาสนาของตัวเองจริงๆ ตัวเองเลือกที่จะไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็ได้ แต่ตัวเองไม่เลือก เพราะเข้าใจว่า ชีวิตทางโลกนั้น ควรมีชีวิตทางธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าด้วย จึงจะใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขโดยแท้จริง

(เนื่องจากส่วนตัวคิดว่า กลุ่มคนไม่มีศาสนานั้น ใช้ชีวิตโดยไม่คิดอะไรมากมาย และทำๆ ไปตามที่ใจต้องการ และมีปรัชญาชีวิตที่เน้นจากเรื่องราวทางโลกเกือบล้วนๆ ซึ่งคงไม่ใช่แนวทางของตัวเองที่ต้องการแสวงหาทางสว่าง และความสงบสุขในจิตใจอยู่ตลอดเวลา)

จึงตัดสินใจศึกษาพระพุทธศาสนา จนค้นพบสัจธรรมว่า การจะเป็นคนที่ดีได้นั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อในพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องต้องเชื่อคำสอน และทำตามคัมภีร์ ขอเพียงแค่ประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับความสงบสุข

พระพุทธศาสนาเปิดโลกที่ผมไม่เคยเห็นไม่เคยเจอมาก่อน เป็นศาสนาที่สอนให้คนพิสูจน์มากกว่าบังคับเชื่อ เป็นศาสนาที่สอนให้คนเน้นจิตใจที่บริสุทธิ์มากกว่าการห้ามกิน หรือ ห้ามทำสิ่งนั้นนี้ที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เป็นศาสนาที่ไม่บังคับการเข้าศาสนสถาน

หลังจากที่ตัวเองได้ศึกษาจนถี่ถ้วนแล้ว จึงตัดสินใจบอกกับตัวเองว่า เราจะไม่ใช่มุสลิมแล้ว แต่เราจะเป็นชาวพุทธ แต่ในตอนนั้น ยังไม่คิดทำอะไรมาก จึงคิดจะไปบอกแม่ ปู่ย่าตายาย ที่เป็นมุสลิม แน่นอนว่า ทุกคนรู้สึกตกใจ และไม่อยากให้ผมเลิกศรัทธาต่ออัลลอฮ์ เพราะกลัวว่าเมื่อถึงวันกียะมะฮ์แล้วผมจะต้องตกไฟนรกไปตลอดกาล (ตามความเชื่อของอิสลาม เมื่อเสียชีวิตแล้ว จะต้องไปอยู่ในโลกแห่งการรอคอย ที่ดวงวิญญาณจะรออยู่จนถึงวันพิพากษา แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง อัลลอฮ์จะพิจารณาตัดสินความดีชั่วที่คนผู้นั้นเคยทำไว้เมื่อยังอยู่ในโลกดุนยา หรือโลกมนุษย์เราปัจจุบัน ผู้ที่ทำความดีไว้มาก จะได้ขึ้นสวรรค์ และพำนักอยู่ในสวรรค์ถาวร ส่วนผู้ที่ทำความชั่ว จะต้องตกไฟนรกไปชั่วนิรันดร ซึ่งนอกจากอิสลามแล้วคริสต์และยิวก็เชื่อความเชื่อนี้ด้วยเช่นกัน)

ผมบอกกับทุกคนว่า อินชาอัลลอฮ์ หมายถึงว่า ถ้าอัลลอฮ์ประสงค์ และสำแดงประจักษ์ให้ได้ตระหนักถึงพระองค์ ผมก็จะพร้อมที่จะไปรับอิสลามอีกครั้ง และเชื่อมั่นว่าหากอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเปี่ยมเมตตา ก็จะทรงมีเมตตาอยู่เสมอตราบที่มีลมหายใจอยู่

ตั้งแต่ที่พูดไปในตอนนั้น ปู่ย่าก็ไม่ได้ติดต่อหาผมอีก (ปกติก็ไม่ค่อยติดต่อกันอยู่แล้ว เพราะไม่ค่อยผูกพันอะไรมาก) ส่วนแม่ ตายาย ได้แต่หวังว่าผมจะกลับไปรับอิสลามอีกครั้ง แต่ความจริงก็คือ ผมไม่มีความคิดนั้นเหลือแล้ว ผมเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา และลึกซึ้งกับธรรมะที่ได้ศึกษาจนยากที่จะกลับไปเป็นมุสลิม

สิ่งที่บอกมาทั้งหมด ไม่ได้ต้องการให้มุสลิมที่ยังศรัทธาในอัลลอฮ์ ต้องหันมานับถือพุทธกันอย่างไร้เหตุผล เพราะเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคร่งครัดมาตั้งแต่เกิด

เคยมีกรณีคนที่มานับถือพุทธแต่ก็กลับไปนับถืออิสลามอีก เพราะเกรงกลัววันพิพากษา กลัวว่าตัวเองจะต้องตกไฟนรก ซึ่งส่วนตัวมองว่า ตัวเองทำแต่ความดี จิตใจบริสุทธิ์ ก็มากพอแล้วที่พระเจ้าจะเมตตา และยังเชื่อมั่นในพระเมตตาเสมอว่าจะไม่ทำแบบนั้น หากประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ



 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งดใช้บริการ

  https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3724456 https://www.facebook.com/photo/?fbid=491527119790156&set=a.433526435590225 https:...